นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า เซ็นทรัล รีเทล ได้ปรับองค์กรครั้งใหญ่ และระบบการทำงานเป็น Omni-Centric พร้อมเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีทำงานเป็นแบบ Digital First ในทุกมิติของการทำธุรกิจ ทำให้เราสามารถทรานส์ฟอร์มองค์กรเป็นดิจิทัล รีเทล (Digital Retail) ได้สำเร็จ ปูพรมแพลตฟอร์มออมนิแชแนลครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจในทั้ง 3 ประเทศ ส่งผลให้องค์กรของเรามีความแข็งแกร่ง สามารถก้าวข้ามทุกความท้าทาย พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งสะท้อนออกมาเป็นผลลัพธ์ความสำเร็จมากมาย ดังนี้
- พัฒนาระบบที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ในการนำธุรกิจในเครือทั้งหมด 14 ธุรกิจ ขึ้นบนแพลตฟอร์มออนไลน์สำเร็จ ในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 17 เดือนเท่านั้น
- ภายในเวลาไม่ถึงปี มียอดดาวน์โหลด Central App ทะลุเกือบ 4 ล้านราย
- ยอดขายผ่านแพลตฟอร์มออมนิแชแนลเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยปัจจุบันยอดขายผ่านออมนิแชแนลเป็นสัดส่วนถึง 20% ของยอดขายรวมทั้งหมด
- จำนวนลูกค้าผ่านช่องทางออมนิแชแนลเพิ่มขึ้นกว่า 600% เมื่อเทียบกับปีก่อน และลูกค้าออมนิแชแนลมียอดใช้จ่ายมากกว่าลูกค้าที่ซื้อผ่านช่องทางเดียวถึง 5 เท่า
- สร้างมาตรฐานใหม่ของความสะดวกสบายเหนือความคาดหมายให้กับลูกค้า ด้วยบริการ Quick Commerce ที่สามารถส่งถึงบ้านลูกค้าได้ภายใน 1 ชั่วโมง
- มีการขยายพื้นที่ และปรับปรุงแพลตฟอร์มออฟไลน์ทั้งหมดกว่า 3.2 ล้านตารางเมตร ใน 3 ประเทศ ให้เป็น Omni-Lifestyle store เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง และสร้างประสบการณ์ที่ดีในการช้อปปิ้งของลูกค้า
นายญนน์ เน้นย้ำถึง 4 ปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นดิจิทัล รีเทล
- แพลตฟอร์มออนไลน์ ได้แก่ เว็บไซต์, Quick Commerce และ Mobile Application (Central Super App และ Tops Online)
- แพลตฟอร์มออฟไลน์ (Physical store) ที่เรามีการขยาย ปรับปรุง และเสริมเทคโนโลยี เช่น ระบบโรโบติกส์, AI เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ทันสมัย และตรงความต้องการลูกค้า
- สร้างความสะดวกสบายรูปแบบใหม่ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ และ Social Commerce อาทิ บริการ Personal Shopper for everyone พร้อมสร้างระบบ Smart Cashless Payment ที่ครบวงจร ผ่านแอปพลิเคชัน Dolfin Wallet
- ผนวกจุดแข็งของเครือข่ายทั่วประเทศ ทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ เพื่อสร้างระบบ Supply Chain และ Logistic ระดับเวิลด์คลาส ที่สามารถส่งสินค้าอย่างรวดเร็ว โดยสร้างมาตรฐานว่าหากลูกค้ามาหาเราได้ใน 1 ชั่วโมง เซ็นทรัล รีเทล ก็ต้องส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ภายใน 1 ชั่วโมงเช่นกัน
- กลุ่มแฟชั่น เป็น Destination ที่รวบรวมพรีเมียมแบรนด์ระดับโลก พร้อมใช้เครือข่ายของกลุ่มเซ็นทรัล รีเทล ยุโรป เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า และตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มพรีเมียมไลฟ์สไตล์
- กลุ่มฮาร์ดไลน์ และฟู้ด โฟกัสไปที่ตลาดแมสมากขึ้น และขยายทั้งในไทย และเวียดนาม โดยมีไทวัสดุเป็นธุรกิจเรือธงด้านฮาร์ดไลน์ที่มียอดขายคู่คี่เบอร์หนึ่งในตลาด พร้อมทั้งเปิดตัวโมเดลร้านค้าแบบ Daily Home Convenience เพื่อตอบโจทย์การใช้บริการสำหรับลูกค้าทุกคนทุกที่ทุกเวลา ผ่าน go! WOW
สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดของทุกองค์กร แต่เซ็นทรัล รีเทล ก็ยังสามารถเดินหน้าธุรกิจ และก้าวผ่านวิกฤตมาได้อย่างแข็งแกร่ง และยืดหยุ่น โดยมีแพลตฟอร์มออมนิแชแนลเป็นอาวุธหลักที่ทำให้ลูกค้ายังคงสามารถจับจ่ายได้อย่างสะดวกสบายและได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ห้างร้านในเครือในประเทศไทยถูกปิดไปกว่า 51 วัน และในประเทศเวียดนามถูกปิดไปเกือบทั้งไตรมาสจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผลประกอบการไตรมาส 3 / 2564 ของเซ็นทรัล รีเทลมีรายได้รวม 41,482 ล้านบาท (-10.6% QoQ) EBITDA 2,541 ล้านบาท (-37.8% QoQ) และสำหรับในปีนี้เราก็ยังมีการขยาย และปรับปรุงแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเข้าซื้อกิจการต่างๆ และให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในศูนย์การค้าฯ ซึ่งมีผลกระทบต่อกำไรชั่วคราวใน
ไตรมาส 3 ทำให้ขาดทุนสุทธิ 2,220 ล้านบาท
"เซ็นทรัล รีเทล ได้ทรานส์ฟอร์มองค์กรมาอย่างแข็งแกร่งและรวดเร็ว ด้วยวิสัยทัศน์และการดำเนินงานที่มีทิศทางชัดเจน ทำให้เกิดขึ้นได้จริง และประสบผลสำเร็จ ภายใต้สถานการณ์วิกฤตที่ท้าทายต่างๆ โดยเฉพาะโควิด-19 ที่เราสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส (Perfect storm, Perfect Opportunity) โดยนับจากนี้ยาวไปจนถึงปีหน้า เราเชื่อมั่นว่าธุรกิจจะมีโมเมนตัมที่ดีขึ้นต่อเนื่องหลังเห็นสัญญาณบวกจากการเปิดประเทศ และผลตอบรับที่ดีมากของลูกค้าที่กลับมาใช้บริการในห้างร้านของเรา บนมาตรการความสะอาดและปลอดภัยที่เข้มข้นยกระดับ โดยเห็นได้จากบรรยากาศการช้อปปิ้งที่คึกคักต้อนรับช่วงไฮซีซั่น และทราฟฟิกที่กลับมาอย่างรวดเร็วกว่าที่คาด ทั้งนี้เซ็นทรัล รีเทลยังเตรียมแผนเดินหน้าขยายตลาดเต็มที่ ทั้งในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี พร้อมปักธงสู่การเป็น 'ดิจิทัล รีเทล' ระดับโลก ภายในปี 2568" นายญนน์ กล่าวปิดท้าย