บมจ.บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส หรือ BGC ชูผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปีนี้ยังแข็งแกร่ง ทำรายได้จากการขายทั้งสิ้น 9,305 ล้านบาท เติบโต 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ไตรมาส 3 ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล อัตรา 0.11 บาทต่อหุ้น เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ มั่นใจผลงานไตรมาสสุดท้ายโดดเด่น หลังเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ให้ 4 จังหวัดนำร่อง ให้ร้านที่ผ่านการตรวจรับรองสามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ในร้านได้ภายในเวลาที่กำหนด รวมถึงการเข้าสู่ไฮซีซั่นช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและดีมานด์บรรจุภัณฑ์ ไม่หวั่นราคาน้ำมันพุ่งกระทบต้นทุนวัตถุดิบ คาดรายได้รวมทั้งปีจะเติบโตกว่าปีก่อน
นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา และการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์และเคอร์ฟิวเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด ที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัวและผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่ม อย่างไรก็ตามบริษัทฯ สามารถทำผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้เติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
โดยในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 9,305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 436 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงความแข็งแกร่งและความสามารถในการรักษาภาพรวมผลการดำเนินงานโดยรวมให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ที่ผ่านมาชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการล็อกดาวน์ส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารและการขายเครื่องดื่ม ทำให้ความต้องการบรรจุภัณฑ์แก้วชะลอตัว อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนและสต๊อกสินค้าอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการในช่วงที่ผ่านมา และปรับโมเดลธุรกิจสู่ Total Packaging Solutions เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร
จากผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.11 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 76.39 ล้านบาท เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ และกำหนดจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 ธันวาคม 2564
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BGC กล่าวต่อว่า หลังจากรัฐบาลเดินหน้าเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยเปิดให้ประชาชนจาก 63 ประเทศ จากเดิม 46 ประเทศ สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยหากได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ครบโดส และมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เพิ่มขึ้น โดยอนุญาตให้ 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ กระบี่ พังงาและภูเก็ต เป็นพื้นที่นำร่องที่สามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์และนั่งดื่มภายในร้านได้ถึงเวลา 21.00 น. ภายใต้เงื่อนไขจะต้องเป็นร้านที่ได้รับการรับรองตรวจประเมินความพร้อมตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (SHA) รวมถึงการประกาศยกเลิกมาตรการห้ามออกนอกเคหะสถานในเวลาที่กำหนด (เคอร์ฟิว) ยกเว้นพื้นที่สีแดงเข้ม 7 จังหวัดที่ยังมีมาตรการควบคุม เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจ โดยประชาชนมีการเดินทางและออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านเพิ่มขึ้น รวมถึงมีเที่ยวบินต่างประเทศทยอยเดินทางเข้าประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอย เช่น การบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งจะทำให้มีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วที่จะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีความท้าทายด้านราคาพลังงานที่สูงขึ้น แต่บริษัทฯ มีการบริหารจัดการอุปสงค์และอุปทานอย่างเหมาะสม และวางเป้าหมายผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปีนี้เติบโตใกล้เคียงกับไตรมาสแรกของปีนี้ โดยล่าสุดมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาเพิ่มขึ้น และคาดว่าหากรัฐบาลมีการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในส่วนของธุรกิจร้านอาหารและสถานบันเทิงเพิ่มเติมในระยะถัดไป จะส่งผลดีต่อภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ต่อเนื่องถึงปี 2565 อีกทั้งยังมีปัจจัยหนุนจากกำลังการผลิตในส่วนของธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วที่เพิ่มกว่า 13% ในช่วงไตรมาส 4 ของปีหน้า จากโรงงานปราจีนบุรี และ ปี 2566 จากโรงงานราชบุรี ด้วยงบลงทุนกว่า 2,500 ล้านบาท