'บมจ.กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล' หรือ GPI ประกาศผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปีนี้ ทำกำไรสุทธิ 76.42 ล้านบาท เติบโต 6.99% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ภาพรวมเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และมาตรการล็อกดาวน์ คาดผลการดำเนินปี 2564 เติบโตดีกว่าปีที่ผ่านมา รับผลดีจากแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัวหลังรัฐบาลประกาศเตรียมเปิดประเทศ ลุ้นธุรกิจโรงไฟฟ้าเริ่ม COD ภายในไตรมาสสุดท้าย หนุนบริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไร
ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ GPI ผู้นำสร้างสรรค์การจัดกิจกรรมให้บริการข่าวสาร ข้อมูล สาระ เพื่อสร้างประสบการณ์ และความบันเทิงที่น่าประทับใจตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ยานยนต์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ที่อยู่ในภาวะชะลอตัวจากผลกระทบของการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 และการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามบริษัทฯ สามารถรักษาภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 อยู่ในระดับที่ดี โดยมีกำไรสุทธิ 76.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.99% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 71.43 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการขายและบริการรวม 475.12 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและบริการรวม 475.27 ล้านบาท
ปัจจัยการเติบโตในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มาจากการรับรู้รายได้หลักจากการจัดงาน Bangkok International Motor Show 2021 ในเดือนมีนาคม - เมษายนที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจรับจ้างพิมพ์ที่บริษัทฯ สามารถจัดหางานพิมพ์เพื่อสร้างรายได้แก่บริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมุ่งเน้นบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับ 47%
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายน่าจะเติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากคาดการณ์ว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงจากขยะแปรรูปในจังหวัดนครสวรรค์ ที่บริษัทฯ เข้าลงทุนถือหุ้นในบริษัททรูเอ็นเนอร์จี จำกัด คิดเป็นสัดส่วน 25.75% น่าจะเริ่มผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยโรงไฟฟ้าดังกล่าวมีกำลังการผลิตติดตั้ง 9 เมกะวัตต์ (MW) และมีสัญญาจำหน่ายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นระยะเวลา 25 ปี (สัญญา 5 ปีและต่อครั้งละ 5 ปีโดยอัตโนมัติ) โดยจะได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ในอัตรา 3.50 บาทต่อหน่วย (Kwh) เพิ่มจากค่าไฟฐานเป็นระยะเวลา 7 ปีนับจากวันที่เริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนการลงทุนจากธุรกิจโรงไฟฟ้าดังกล่าว
"เราคาดว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในส่วนกำไรในปีนี้จะเติบโตได้ดีกว่าปีก่อน เนื่องจากเราได้เร่งผลักดันรายได้จากทุกกลุ่มธุรกิจ รวมถึงหากธุรกิจโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงจากขยะแปรรูปสามารถ COD ได้ภายในไตรมาสสุดท้าย ก็จะส่งผลดีต่อผลกำไรของบริษัทฯ นอกจากนี้หากภาพรวมเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากการเริ่มเปิดประเทศ การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และมาตรการเคอร์ฟิว จะส่งผลดีต่อการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการยานยนต์ในช่วงโค้งสุดท้ายต่อเนื่องถึงปีหน้าที่มีแนวโน้มคึกคักขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อรายได้จากธุรกิจการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของบริษัทฯ" ดร.ปราจิน กล่าว