"PTG" โชว์รายได้ไตรมาส 3 ปี 64 โตเพิ่มขึ้น 20.8% คาดไตรมาส 4 เติบโตต่อเนื่องระบุเห็นสัญญาณกลับตัวของปริมาณการขายจากการปลด Lock down และฤดูกาลท่องเที่ยว พร้อมรับการเปิดประเทศ หนุนความต้องการธุรกิจ Oil และ Non-Oil ล่าสุดยังคงรักษามาเก็ตแชร์อันดับที่ 2 ไว้อย่างเหนียวแน่น เชื่อไม่นานฟื้นตัวสู่ภาวะปกติ
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยผลการดำเนินไตรมาส 3 ปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการรวม 30,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,270 ล้านบาท หรือ 20.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ธุรกิจน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและมีกำไรสุทธิ 65 ล้านบาท ลดลง 448 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 87.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่
สำหรับรายได้จากการขายและการให้บริการที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากมีรายได้จากธุรกิจน้ำมันเพิ่มขึ้น 20.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายปลีกน้ำมันต่อลิตรที่สูงขึ้นถึง 34.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-oil) เติบโตเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 1,413 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 19.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเติบโตหลักมาจากธุรกิจ LPG และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้ร้านกาแฟพันธุ์ไทย
ในส่วนของกำไรที่ลดลงนั้น เนื่องจากบริษัทฯ มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันลดลงอยู่ที่ 1,106 ล้านลิตร ลดลง 10.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งลดลงสอดคล้องกับปริมาณการใช้น้ำมันของประเทศที่ปรับตัวลดลง 20.1% เช่นเดียวกัน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงและยาวนานขึ้น ประกอบกับเหตุการณ์อุทกภัยในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้กิจกรรมการเดินทางระหว่างจังหวัดฟื้นตัวได้อย่างช้าหลังจากภาครัฐมีการคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19
นอกจากนี้ ยังมีค่าการตลาดที่ปรับตัวลดลง และบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 11.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามจำนวนสถานีบริการน้ำมัน (ปั๊มน้ำมัน) แก๊ส LPG และสาขาของธุรกิจ Non-Oil ที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้จะมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนที่เพิ่มขึ้น 4.2% จากปีที่แล้ว จากโครงการ Palm Complex เป็นหลัก จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้กำไรในไตรมาสนี้ลดลง
"จากสถาการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ผ่านมา แต่เนื่องจากบริษัทฯ ประเมินว่าเพื่อรองรับการเริ่มเปิดประเทศ ในช่วงไฮซีซั่น (High season) และโครงการ "เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3" ในไตรมาส 4 โดยบริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมรองรับการให้บริการทั้งในธุรกิจน้ำมันและธุรกิจ Non-Oil รวมถึงการปรับกลยุทธ์การลงทุน ทั้งการให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่าย และปรับงบการลงทุนให้อยู่ในระดับเหมาะสม โดยปรับลดการลงทุนของปี 2564 อยู่ที่ 2,000 -2,500 ล้านบาท จากเดิมที่วางไว้ 3,000 -3,500 ล้านบาท รวมถึงรักษาเสถียรภาพทางการเงินของบริษัทฯไว้ให้มีความเหมาะสมเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19" นายพิทักษ์ กล่าว
นายพิทักษ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ปรับประมาณการการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันอยู่ที่ 1-4% และปรับประมาณการการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายแก๊ส LPG ลดลงอยู่ที่ 70% จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ ประเมินกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) ลดลงที่ระดับ 0 ถึง -5% โดยมองว่าผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นเพียงความท้าทายของธุรกิจในระยะสั้น และคาดหวังหากสถานการณ์กลับมาสู่ภาวะปกติ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าด้วยคุณภาพของสินค้าและบริการที่ดีของบริษัท จะสามารถกลับมาเติบโตได้เช่นเดียวกับช่วงเวลาปกติที่ผ่านมา