ชโย กรุ๊ป หรือ CHAYO อวดผลงาน 9 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิ 171.28 ลบ. เติบโต 44.75% มีรายได้รวม 9 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 506.71 ลบ. ส่วนไตรมาส 3 ปี 2563 มีกำไร 71.21 ลบ. โต 124% มีรายได้รวม 173.96 ลบ. โต 44.28% "สุขสันต์ ยศะสินธุ์" แม่ทัพใหญ่ มั่นใจแนวโน้มปีนี้รายได้รวมทั้งปีเติบโตไม่ต่ำกว่า 25% ตามแผนที่วางไว้อย่างแน่นอน ลุยซื้อหนี้เข้าพอร์ตเพิ่มในไตรมาสสุดท้าย เผยปัจจุบันบริหารหนี้อยู่กว่า 65,000 ลบ. ล่าสุดบอร์ดให้เสนอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 2/2564 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในรูปแบบของหุ้นปันผลและเงินสด โดยจ่ายปันผลจากกำไรสะสมที่ยังไม่จัดสรร ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 30 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล และจ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.0018519 บาท (เพื่อรองรับการจ่ายภาษี ให้กับผู้ที่ได้รับหุ้นปันผล) รวมเป็นเงินจ่ายปันผลทั้งสิ้นไม่เกิน 22,431,352 บาท กำหนด Record Date ในวันที่ 10 ม.ค. 2565 (XD 7 มกราคม 2565) และจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 26 ม.ค. 65
นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน ธุรกิจเจรจาติดตามเร่งรัดหนี้สิน ธุรกิจปล่อยสินเชื่อ และกิจการศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทและบริษัทย่อยในงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 506.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 154.24 เพิ่มขึ้น 43.76% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 352.47 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 171.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.95 ล้านบาท เติบโต 44.75% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 118.32 ล้านบาท โดยการเพิ่มขึ้นของกำไรส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกำไรจากการขายสินทรัพย์รอการขายและกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในงวดไตรมาส 3/2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 173.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.28% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 120.56 และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 71.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 31.68 ล้านบาท โดยการเพิ่มขึ้นของกำไรเป็นผลมาจากกำไรจากการขายสินทรัพย์รอการขายและกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทมีรายได้จากการให้บริการเร่งรัดหนี้สินลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผู้ว่าจ้างมีนโยบายในการช่วยเหลือลูกค้า โดยการให้หยุดการติดตาม และ/หรือให้ยืดระยะเวลาการจ่ายเงินออกไป หรือลดการจ่ายค่างวดลดลง เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ผู้ว่าจ้างมีการปรับเปลี่ยนจำนวนบัญชีที่บริษัทได้รับมอบหมายให้ติดตาม ส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากการให้บริการเร่งรัดหนี้สินลดลง
ล่าสุดทางคณะกรรมการบริษัทฯมีมติอนุมัติให้นำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้ง ที่ 2/2564 ในวันที่ 27 ธันวาคม 2564 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในรูปแบบของหุ้นปันผลและเงินสด โดยจ่ายปันผลจากกำไรสะสมที่ยังไม่จัดสรร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 30 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล เป็นจำนวนไม่เกิน 40,376,256 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 20,188,128 บาท คิดเป็นมูลค่าเท่ากับอัตราการจ่ายปันผล 0.0166667 บาทต่อหุ้น และจ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.0018519 บาท หรือคิดเป็นจำนวนไม่เกิน 2,231,173 บาท รวมเป็นการจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.0185186 บาท หรือคิดเป็นจำนวนเงินประมาณไม่เกิน 22,431,352 บาท บริษัทกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 10 มกราคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 26 มกราคม 2565
นายสุขสันต์ กล่าวถึงการซื้อหนี้ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2564 ว่างวดไตรมาส 4/2564 จะเริ่มต้นเข้าสู่ช่วงที่ทางสถาบันการเงินจะเร่งขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมามากเพื่อบริหาร NPL ของสถาบันการเงิน หากดูหนี้เสียในระบบที่มีกว่า 5 แสนล้านบาท แต่ที่นำออกมาขายทอดตลาดในปีนี้คาดว่ามีเพียง 1-2 แสนล้านบาทเท่านั้น ซึ่งมีอีก 3-4 แสนล้านบาท ที่ยังไม่ออกมาขายในปีนี้ ดังนั้นเชื่อว่าปีหน้าจะเห็นสถาบันการเงินจะนำหนี้เสียออกมาขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อบริหารหนี้ NPL ไม่ให้เกินระดับ 4%
ส่วนการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพในส่วนที่เหลือของปีนี้ บริษัทเตรียมเงินลงทุนไว้กว่า 2,000 ล้านบาท (รวมเงินทุน Chayo JV) เพื่อรองรับการซื้อหนี้เข้ามาบริหารในพอร์ตเพิ่ม ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับทางสถาบันการเงินประมาณ 4-5 ราย คิดเป็นมูลหนี้กว่า 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแบบมีหลักประกัน 70-90% และไม่มีหลักประกัน 10-30% เบื้องต้นบริษัทมีความคาดหวังจะได้ส่วนแบ่งมูลหนี้ดังกล่าวมาไม่น้อยกว่า 6,000-8,000 ล้านบาท เข้ามาเติมพอร์ตในช่วงปลายปีนี้เพิ่ม อย่างไรก็ดี บริษัทคาดว่าจะเห็นความชัดเจนทั้งหมดภายในช่วงเดือนธันวาคม 2564
บริษัทมั่นใจว่าผลการดำเนินงานรวมในปี 2564 จะมีการเติบโตมากกว่า 25% จากปีก่อนอย่างแน่นอน ซึ่งนับตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคม 2564 บริษัทมีการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารในพอร์ตได้เพิ่มแล้วกว่า 2,700 ล้านบาท (ใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 500 ล้านบาท) ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีมูลหนี้คงค้างในพอร์ตอยู่ที่ประมาณ 65,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ที่มีหลักประกันประมาณ 15,000 ล้านบาท และหนี้ที่ไม่มีหลักประกันราว 50,000 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทเตรียมออกหุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.70% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยจ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน มูลค่าการเสนอขายรวม 750 - 1,250 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์การใช้เงิน เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนสำหรับขยายกิจการและการชำระคืนหุ้นกู้เดิม (ก่อนกำหนด) ซึ่งจะทำการเสนอขายในช่วงระหว่างวันที่ 18 - 19 และ 22 พฤศจิกายน 2564 นี้