CPANEL ปลื้มคำสั่งซื้อ Precast Concrete เข้าต่อเนื่อง เตรียมติดตั้งเครื่องจักรใหม่ เพิ่มความรวดเร็ว - ขยายกำลังผลิตเพิ่ม 5-10% ดันอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่ม รองรับการเติบโตอสังหาฯ ผู้ประกอบการปรับตัว ลดเวลาการก่อสร้าง รับงานใหม่ 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 199 ล้านบาท มั่นใจปี 64 รายได้โตตามเป้าหมายใหม่ไม่ต่ำกว่า 35% พร้อมความสามารถการทำกำไรดีขึ้น
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast) ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 64 ที่ผ่านมาเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 20.19 ล้านบาท มากกว่ากำไรทั้งปี 63 อยู่ที่ 13.13 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 4/64 บริษัทมีคำสั่งซื้อทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมติดตั้งเครื่องจักรใหม่ เพื่อรองรับแนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีสัญญาณฟื้นตัวในปี 65 ซึ่ง CPANEL ถือเป็นเป็นรายแรกที่นำเทคโนโลยีนี้เข้ามาพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพระบบการผลิต สามารถผลิต Precast Concrete ได้รวดเร็วมากขึ้น และสามารถขยายกำลังการผลิตเพิ่ม 5-10% นอกจากนี้ยังคาดว่าจะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากสามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
"ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 65 มองว่าจะสามารถเติบโตประมาณ 10-15% เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งระบายสต็อก และขยายการเติบโตตามหัวเมืองใหญ่ โดยเฉพาะเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) นอกจากนี้คาดว่าเศรษฐกิจในประเทศจะทยอยฟื้นตัว กำลังซื้อผู้บริโภคกลับมาในหลายพื้นที่ ส่งผลให้โครงการบ้านยังเป็นที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มดังกล่าวคาดว่าการแข่งขันของผู้ประกอบการจะยิ่งสูงขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับกลยุทธ์ลดต้นทุนการก่อสร้าง ลดจำนวนแรงงาน บริหารความเสี่ยง ลดเวลาการก่อสร้าง รวมถึงใช้วัสดุที่ทำให้การก่อสร้างเสร็จเร็วมากขึ้น ซึ่ง Precast Concrete เป็นเทคโนโลยีก่อสร้างที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้" นายชาคริต กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทรับงานใหม่จากลูกค้ารายเดิม และลูกค้ารายใหม่ 7 โครงการ อาทิ Motif Townhouse,สัมมากร คู้บอน, พาโน เซน, Victoria, แสนสิริ K- series อ่อนนุช, TMT Land และ กานดา ลำลูกกา คลอง 2 มูลค่ารวมกว่า 199 ล้านบาท อีกทั้งอยู่ระหว่างการเจรจาลูกค้าประเภทแนวราบและแนวสูงอีกหลายราย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนเร็วๆนี้ ทั้งนี้ มั่นใจว่าการดำเนินงานในปี 64 จะสามารถทำรายได้ตามเป้าที่ปรับใหม่ไม่ต่ำกว่า 35% และความสามารถการทำกำไรของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง