จากวิสัยทัศน์ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่กำหนดเป้าหมายในการขับเคลื่อนนวัตกรรมประเทศไทยให้ก้าวสู่อันดับ 1 ใน 30 ของประเทศที่มีความสามารถด้านนวัตกรรมของโลกภายในปี 2573 เพื่อมุ่งยกระดับประเทศไทยให้เป็นชาติแห่งนวัตกรรมนับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายพอสมควร
ซึ่งที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ขานรับเป้าหมายดังกล่าวโดยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนงานวิจัยและการสร้างนวัตกรรมของประเทศให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกและสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของโลกในศตวรรษที่ 21 ผ่านการทำงานร่วมกับภาครัฐ สถาบันการศึกษาและชุมชน ในรูปแบบจตุรภาคี (Quadruple Helix) เพื่อร่วมกันพัฒนาต่อยอดและปรับใช้ความรู้และเทคโนโลยีนำมาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ใช้ประโยชน์ได้จริง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศทั้งปัญหาการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม และปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการ SPACE-F เป็นความร่วมมือพัฒนานวัตกรรมอาหารแห่งแรกในประเทศไทยที่มีเป้าหมายสู่ระดับโลก ระหว่างสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) อว. กับบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และมหาวิทยาลัยมหิดล โครงการ Thailand InnoBIZ Champion เป็นความร่วมมือระหว่าง สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติฯ อว. กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เพื่อหาผู้ประกอบการนวัตกรรมในภูมิภาคที่นำอัตลักษณ์เด่นของแต่ละพื้นที่มาสร้างให้เกิดนวัตกรรมฝีมือคนไทยที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวเกี่ยวกับ ปีนี้นับเป็นปีที่ท้าทายสำหรับ อว. ในการขับเคลื่อนนำประเทศไปสู่การเป็น "ชาติแห่งนวัตกรรม" โดย อว. ได้สนับสนุนให้เกิดการสร้างนวัตกรรมขึ้นในประเทศ ผ่านการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการนวัตกรรม การขยายโอกาสเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานทางนวัตกรรมในส่วนภูมิภาค การส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมเพื่อสังคมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย รวมถึงการพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม เช่น การผลักดันให้เกิดพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์งานวิจัยและนวัตกรรม ประจำปี 2564 ซึ่งถือเป็นกฎหมายสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการนวัตกรรมเพิ่มขึ้นจากความคล่องตัวในการรับถ่ายทอดผลงานวิจัยและเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย นอกจากนี้ อว. ยังมีแนวทางใหม่ในการสนับสนุนให้เกิดนวัตกรรมผ่านการปรับเปลี่ยนจากการวิจัยที่สร้างองค์ความรู้ฝั่งอุปทานไปเป็นงานวิจัยที่ต่อยอดให้เกิดนวัตกรรมที่ใช้ประโยชน์ได้จริง การสร้างเครือข่ายที่ร่วมกันสร้างนวัตกรรม เพื่อให้เกิดการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของไทยเป็น 2% ต่อ GDP หรือประมาณ 370,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายของประเทศที่พัฒนาแล้ว
"นอกจากภารกิจดังกล่าวแล้ว สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัด อว. ยังได้มีการริเริ่มสร้าง "แพลตฟอร์มนวัตกรรมประเทศไทย" ที่มีเป้าหมายหลักในการผลักดันให้ประเทศไทยติด 30 อันดับแรกของดัชนีนวัตกรรมโลก ภายในปี 2573 เพื่อสร้างภาพลักษณ์ด้านนวัตกรรมของประเทศและเกิดการยอมรับระดับสากลสู่การเป็นชาติแห่งนวัตกรรม ซึ่งถือว่า NIA ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ เพราะสามารถสร้างให้เกิดการรับรู้อัตลักษณ์นวัตกรรมไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ สร้างพันธมิตรนวัตกรรมไทยที่เข้ามาร่วมกันสร้างให้เกิดนวัตกรรมฝีมือคนไทยขึ้นในองค์กรทุกภาคส่วน และเกิดการรวบรวมข้อมูลนวัตกรรมไทยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง" ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก กล่าว
สำหรับแพลตฟอร์ม นวัตกรรมประเทศไทย มีการดำเนินงาน 3 ด้าน ได้แก่ 1. การสื่อสารอัตลักษณ์ทางนวัตกรรมของประเทศไทยให้เป็นที่จดจำ โดยเฉพาะนวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตที่ประณีต(Innovation for Crafted Living) ซึ่งถือเป็นดีเอ็นเอทางนวัตกรรมของไทย 2. การสร้างเครือข่ายพันธมิตรนวัตกรรมประเทศไทย ให้เกิดการเชื่อมโยง เผยแพร่ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ทางนวัตกรรมร่วมกัน ซึ่งปัจจุบันมีเครือข่ายนวัตกรรมประเทศไทยที่จะมาร่วมกันผลิต สร้างสรรค์ ผลักดัน และส่งเสริมนวัตกรรมของคนไทย ทั้งจากภาครัฐ บริษัทเอกชน สถาบันการศึกษา และสมาคมธุรกิจ กว่า 70 องค์กร โดยที่ผ่านมาได้มีการกิจกรรม Innovation Sharing ที่ให้ผู้แทนเครือข่ายร่วมถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมของแต่องค์กร เพื่อจุดประกายให้เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และ 3. การสร้างฐานข้อมูลนวัตกรรมประเทศไทย ที่มีความเป็นปัจจุบันและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งจากการเรียนรู้ตัวอย่างประเทศที่อยู่ในอันดับต้นของดัชนีนวัตกรรมโลกจะมีจุดเด่นสำคัญที่สอดคล้องกับการดำเนินงานแพลตฟอร์มนวัตกรรมประเทศไทยของ NIA
"ที่ผ่านมาคนไทยอาจยังไม่ค่อยรับรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมฝีมือคนไทยที่เกิดขึ้นมากนัก โดย Innovation for Crafted Living เป็นอัตลักษณ์ของนวัตกรรมไทยที่สะท้อนดีเอ็นเอนวัตกรรมจากไลฟ์สไตล์ของคนไทยที่มีความประณีตพิถีพิถันในการใช้ชีวิต ก่อให้เกิดนวัตกรรมที่มีการสร้างสรรค์ด้วยความประณีตใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ดีขึ้น ช่วยทำให้มีความสุข สะดวกสบาย และมีความประณีตในการใช้ชีวิตมากขึ้นเพื่อคนไทยและคนทั่วโลก โดยแบ่งเป็น 7 ด้าน
เราจึงอยากให้คนไทยมาร่วมภาคภูมิใจในนวัตกรรมฝีมือคนไทยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก และเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีความเป็นเลิศทางนวัตกรรมจากภูมิปัญญาที่สั่งสมมายาวนานจนเป็นอัตลักษณ์ทางนวัตกรรมไทย และเราต้องมั่นใจว่าจะสามารถก้าวไปสู่การเป็น 1 ใน 30 ชาติแห่งนวัตกรรมของโลกที่ทัดเทียมนานาประเทศได้" ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก กล่าวทิ้งท้าย