“มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย” เผยความสำเร็จปี 47 ทั้งในประเทศและส่งออก ประกาศทิศทางปี 48 มุ่งสร้างความ เชื่อมั่นลูกค้า-พันธมิตร ตั้งเป้าเพิ่มมาร์เก็ตแชร์กลุ่มตลาดปิกอัพ

ข่าวทั่วไป Wednesday February 9, 2005 08:55 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--9 ก.พ.--อาซาตซู (ประเทศไทย)
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย แถลงความสำเร็จทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออกน่าพอใจเกินคาดกับผลงาน ชิ้นโบว์แดงด้วยยอดขายในกลุ่มรถปิกอัพที่เพิ่มขึ้นถึง 18.2% จากปี 46 รวมถึงสเปซ แวกอนที่สร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้ตลาดรถอเนกประสงค์ส่งผลมาร์เก็ตแชร์กลุ่มนี้สูงถึง 5.3% ด้านตลาดส่งออกสามารถทำลายสถิติคว้าแชมป์ส่งออกปี 47 สูงกว่า 1 แสนคันพร้อมเตรียมฉลองส่งออกครบ 700,000 คันในไตรมาสแรก เผยทิศทางปี 48 มุ่งสร้างความเชื่อมั่นทั้งกลุ่มลูกค้าและพันธมิตร ประกาศความพร้อมทั้งการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ การพัฒนาและยกระดับเครือข่ายโชว์รูม ศูนย์บริการ รวมถึงขยายตลาดการจำหน่ายเครื่องยนต์และ ชิ้นส่วนประกอบ ส่วนแผนด้านตลาดส่งออกบริษัทแม่ยังคงสนับสนุนยกระดับให้ไทยเป็นฐานผลิตเพื่อส่งออกที่สำคัญของภูมิภาค
มร. ฮิซาโยชิ คุมาอิ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2547 ว่า ในปีที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย โดยจะเห็นได้จากยอดขายรถยนต์ในตลาดรวมปี 2547 อยู่ที่ 600,453 คัน (ไม่รวมรถบรรทุก) โตขึ้นจากปี 2546 ถึง 16.7% ซึ่งมิตซูบิชิ ประเทศไทย สามารถทำยอดขายรถยนต์มิตซูบิชิภายในประเทศได้ถึง 35,255คัน (ไม่รวมรถบรรทุก) เติบโตขึ้นจากปี 2546 ซึ่งมียอดขายรวม 32,026 คัน (ไม่รวมรถบรรทุก) ถึง 9% ซึ่งเป็นผลงานจากการทำตลาดที่มีออกมาต่อเนื่องตลอดปี 2547 เช่น การเปิดตัวรถรุ่นต่างๆ ออกสู่ตลาด โดยเฉพาะ “สตราดา ที่สามารถทำยอดขายทั้งสิ้น 28,000 คัน เพิ่มขึ้นถึง 18% จากปี 2546 มียอดขายอยู่ที่ 23,915 คัน แม้ว่าบริษัทไม่ได้มีการเปิดตัวโมเดลใหม่สู่ตลาดเช่น ค่ายอื่นๆ นอกจากนั้นช่วงปลายปี 2547 บริษัทฯ ยังได้เปิดตัว “สเปซ แวกอน” รถยนต์ อเนกประสงค์ (MPV) ที่เป็นรถทางเลือกใหม่สำหรับตลาด ภายหลังการเปิดตัวเพียง 3 เดือนก็สามารถทำยอดจองได้ถึง 3,000 คันส่งผลให้ส่วนแบ่งในตลาดรถ เอ็มพีวีของบริษัทฯ สูงขึ้นถึง 100% และเข้ามามีส่วนแบ่งตลาดได้ถึง 5.3% อีกทั้งยังมีการเปิดตัวรถรุ่นพิเศษ อาทิ จี-แวกอน รุ่นลิมิเต็ด อิดิตชั่น, แลนเซอร์ 2000 แรลลี่อาร์ต และ สตราดา ดาการ์ สปอร์ต เพื่อเจาะกลุ่มตลาดผู้ชื่นชอบรถที่ได้รับการ ตกแต่งพิเศษต่างจากรุ่นปกติ โดยภาพรวมแล้วจัดว่าบริษัทฯประสบความสำเร็จด้านยอดขายในประเทศอย่างเกินคาดหมาย
นอกจากนี้ ตลาดส่งออกในปี 2547 บริษัทฯ ถือว่าประสบความสำเร็จสูงสุดโดยเฉพาะการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์และชิ้นส่วนประกอบด้วยยอดส่งออกถึง 109,933 คัน คิดเป็นเม็ดเงินที่มิตซูบิชินำเข้าประเทศได้ถึง 4.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งทำลายสถิติยอดส่งออกของบริษัทฯ ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2531 ที่เริ่มส่งออกรถยนต์ไปยังตลาดต่างประเทศอีกด้วย
“ปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่เราทำผลงานได้ยอดเยี่ยมทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก สำหรับตลาดในประเทศกลุ่ม รถปิกอัพ 1 ตันและกลุ่มรถเอ็มพีวีมีการเติบโตค่อนข้างชัดเจน โดยมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดถึง 20% และ 271% ตามลำดับ ด้วยปัจจัยราคาน้ำมันที่ปรับตัวไม่คงที่ ตามด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจโดยรวมที่เติบโต กำลังซื้อภายในประเทศก็มีการปรับตัวตามการเติบโตของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดกลาง-ขนาดย่อม ประกอบกับกำแพงภาษีที่ลดลง มีส่วนให้ตลาดรถปิกอัพโดยรวมขยายตัวขึ้น ซึ่ง “สตราดา” เองก็เป็นโมเดลที่ส่งออกและได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศจึง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าในไทยมากขึ้นด้วย นอกเหนือจากสมรรถนะและความแข็งแกร่งของรถรุ่นนี้เอง ในขณะที่กลุ่มรถ เอ็มพีวีกลายเป็นรถที่ได้รับความนิยมจากลูกค้ามากขึ้น ด้วยดีไซน์ผสมผสานความหรูหราของรถยนต์นั่งกับความกว้างของห้องโดยสารที่ให้ประโยชน์ใช้สอยมากกว่า ซึ่งปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยเริ่มสอดคล้องกับเทรนด์ของตลาดเอ็มพีวีในยุโรปและอเมริกาที่ผู้บริโภคนิยมใช้รถยนต์อเนกประสงค์ที่สามารถตอบสนองความต้องการได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งมิตซูบิชิ “สเปซ แวกอน” ถือเป็นรถเอ็มพีวีพันธุ์แท้ที่มีจำหน่ายในประเทศไทย ผนวกกับราคาและข้อเสนอเพิ่มเติมที่มีให้ ลูกค้ามีความน่าสนใจกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นอื่นๆ ในตลาด ซึ่งมิตซูบิชิได้มีการแนะนำรถที่ตรงกับความต้องการของตลาดออกมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมพอดีและแต่ละโปรดักส์ก็มีจุดแข็ง เราจึงสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดทั้ง 2 กลุ่มได้อย่าง น่าพอใจ ในขณะที่การผลิตเพื่อส่งออกเราก็มีความพร้อมเต็มที่และเป็นปีที่เรามีวอลุ่มออเดอร์สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ผลการดำเนินงานจากปี 2547 จึงเป็นแรงส่งสำคัญที่เพิ่มความมั่นใจให้เราในการกำหนดนโยบายและเป้าหมายใน เชิงรุกสำหรับปี 2548 ”
ทั้งนี้ มร. คุมาอิ กล่าวถึงตลาดรถภายในประเทศปี 2548 ว่า “แม้ว่าแนวโน้มราคาน้ำมันมีท่าทีปรับตัวไม่คงที่ รวมถึงภาคธุรกิจท่องเที่ยวใน 6 จังหวัดภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากธรณีพิบัติหรือคลื่นยักษ์สึนามิอาจเป็นปัจจัยลบส่งผลต่อภาคธุรกิจในบางส่วนแต่เพียงในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากภาครัฐบายได้วางนโยบายเร่งด่วนเพื่อฟื้นฟูสถานการณ์ให้กลับเป็นปกติโดยเร็วที่สุด คาดว่าปัจจัยลบเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวมมากนัก เนื่องจากหากมองโดย ภาพรวมแล้ว อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยหนุนต่างๆ ทั้งนโยบายของภาครัฐที่ตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก (Detroit of Asia) ภายในปี 2553 รวมถึงการกำหนดกำแพงภาษีรถยนต์ที่ลดต่ำลงมาส่งผลให้ราคารถยนต์ขยับตัวลงตามมาทำให้ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยที่ผ่านมาขยับตัวขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง” โดยบริษัทฯ ประมาณการยอดขายรถยนต์รวมของตลาดในประเทศปี 2548 น่าจะอยู่ที่ 650,000-680,000 คัน มีอัตราเติบโตจากจากปีที่ผ่านมาประมาณ 5-10% และจากประมาณการตลาดดังกล่าว มิตซูบิชิ ประเทศไทย ได้กำหนดเป้าหมายยอดขายภายในประเทศไว้ที่ 45,000 คัน คิดเป็น 6-7% ของตลาดรวม แบ่งเป็นยอดขายกลุ่มรถยนต์นั่ง 5,000 คัน รถอเนกประสงค์ (MPV) 4,000 คัน และรถปิกอัพ 36,000 คัน โดย เฉพาะในตลาดกลุ่มรถปิกอัพที่บริษัทฯ ได้กำหนดเป้าหมายในเชิงรุกไว้ว่าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดขึ้นอีกในปีนี้
บริษัทได้วางแผนและกลยุทธ์ด้านการตลาดเพื่อรองรับกับนโยบายดังกล่าวไว้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทั้งในด้านเครือข่ายพันธมิตรผู้จำหน่าย โชว์รูมและศูนย์บริการ พร้อมกับการเน้นประสิทธิภาพด้านการขาย การบริการหลังการขาย และการบริการชิ้นส่วนและอะไหล่ รวมถึงการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดในปี 2548 ปัจจุบันบริษัทฯ มีผู้จำหน่าย (dealer) รถยนต์มิตซูบิชิ 92 รายกับโชว์รูมและศูนย์บริการรวม 152 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งในปีนี้ บริษัทฯ จะเน้นศักยภาพความพร้อมในด้านต่างๆ ของเครือข่าย เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของโชว์รูมและศูนย์บริการมิตซูบิชิให้ปรากฎต่อลูกค้ามากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ในด้านการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า บริษัทฯ ยังมุ่งสานต่อการพัฒนาด้านการขาย การบริการหลังการขายและการบริการชิ้นส่วนและอะไหล่ (3S: Sales, Service, Spare Parts) โดยในปี 2548 บริษัทฯ ตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนพนักงานขายขึ้นจากปีที่ผ่านมา รวมถึงเร่งจัดอบรมความรู้สำหรับพนักงานขายและช่างเทคนิค ในส่วนของงานด้านอะไหล่ บริษัทฯ เน้นการเพิ่มประสิทธภาพด้านการจัดส่งโดยกำหนดมาตรฐานการจัดส่งเร่งด่วนภายใน 24 ชั่วโมง รวมถึงการจัดส่งอะไหล่มาตรฐานภายใน 3 วันตามการสั่งซื้อของผู้จำหน่าย อีกทั้งยังกำหนดนโยบายปรับโครงสร้างราคาอะไหล่รถมิตซูบิชิ โดยเฉพาะอะไหล่และอุปกรณ์ที่มีการเปลี่ยนบ่อย รวมถึงรถมิตซูบิชิรุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวทุกรุ่น บริษัทฯ มีนโยบายในการกำหนดราคาไว้ต่ำกว่าผู้นำตลาด การพัฒนาระบบ 3S ที่กล่าวมานี้ คือหัวใจหลักในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าเพื่อให้สอดคล้องกับแผนนโยบายการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้จำหน่ายและลูกค้าของมิตซูบิชิ
ด้านแผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่สู่ตลาดนั้น บริษัทฯจะแนะนำรถรุ่นพิเศษที่มีการปรับปรุงใหม่ทั้งการดีไซน์และสมรรถนะการขับขี่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยจะครอบคลุมทั้งรถส่วนบุคคล รถอเนกประสงค์และรถปิกอัพ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความแตกต่างจากรถในตลาดทั่วๆ ไป ภายในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ปีนี้บริษัทฯ ได้วางแผนเปิดตัวรถปิกอัพโฉมใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดส่วนนี้เพิ่มเติมจากรุ่นเดิมคือ “สตราดา” ที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจนถึงในปัจจุบัน ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่ารถปิกอัพรุ่นใหม่ที่เปิดตัวจะเข้ามาสร้างยอดขายให้กับตลาดรถยนต์เป็นประวัติการณ์อีกครั้ง จากการคาดคะเนผลตอบรับของการเปิดตัวรถปิกอัพโฉมใหม่ประกอบกับอัตราการเติบโตของตลาดรถปิกอัพในปีที่ผ่านมาโดยสูงขึ้นจากปี 46 ถึง 20% และคาดว่าน่าจะเติบโตขึ้นอีกมากในปี 48 นี้ บริษัทฯ จึง มั่นใจว่าจากปัจจัยดังกล่าวจะผลักดันให้ยอดขายรถปิกอัพมิตซูบิชิภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาตลาดสำหรับการนำรถยนต์มิตซูบิชิ อีโวลูชั่น 9 มาทำตลาดในประเทศไทย สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถที่มีสมรรถนะสูงดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งเป็นรุ่นที่สะท้อนภาพลักษณ์ของ มิตซูบิชิในด้านมอเตอร์ส สปอร์ตโดยเฉพาะ โดยบริษัทฯ จะนำมิตซูบิชิ อีโวลูชั่น 9 เข้ามาให้คนไทยได้ชมครั้งแรกในงานมอเตอร์โชว์ปีนี้ รวมถึงจะนำรถมิตซูบิชิ แลนเซอร์ ดับเบิ้ลยูอาร์ซี (WRC) และรถมิตซูบิชิ เรซซิ่ง ทรัค อีโวลูชั่น รถแข่งคู่ใจของนักแข่งไทยในการแข่งขันแรลลี่ ดาการ์ที่ผ่านมา มาจัดแสดงภายในงานด้วย ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าการเปิดตัวรถรุ่นต่างๆ ในช่วงต้นปีจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยผลักดันยอดขายของมิตซูบิชิภายในประเทศให้ประสบความสำเร็จอีกครั้ง
ด้านการส่งออกตลาดต่างประเทศนั้น มร.คุมาอิกล่าวว่า ปีนี้จะเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองยอดการส่งออกรถยนต์ของมิตซูบิชิในช่วง 17 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2531- ปัจจุบัน โดยบริษัทฯจะมียอดส่งออกครบ 700,000 คันภายในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ พร้อมกับได้ตั้งเป้ายอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและเครื่องยนต์และชิ้นส่วนประกอบไว้กว่า 100,000 คัน ซึ่งจะพยายามเพิ่มศักยภาพการผลิตเพื่อรองรับกับนโยบายของภาครัฐที่กำหนดให้อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอุตสาหกรรม ยุทธศาสตร์ของประเทศ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อ
แผนกประชาสัมพันธ์ บริษัท อาซาตซู (ประเทศไทย) จำกัด
หมายเลขโทรศัพท์ 0 2367 5951
วิรุญญา วินทุพราหมณกุล ต่อ 3302
เพียงใจ สุทธิรักษ์ ต่อ 3303
ณัฐวุฒิ เอี่ยมสะอาด ต่อ 3306
โทรสาร 0 2367 5946
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ