ธนาคารทิสโก้ประเดิมปี 2565 แนะซื้อ 3 ธีมลงทุนเพิ่มโอกาสสร้างกำไรงามรับปีขาล ชี้กลุ่มเมกะเทรนด์อย่าง 'เมตาเวิร์ส' และ 'นวัตกรรมการแพทย์' มาแรง เหมาะลงทุนระยะยาว และจับจังหวะเข้าซื้อกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วแบบยุโรป และญี่ปุ่น เพื่อกำไรระยะสั้น
นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (Mr.Nattakrit Laotaweesap, Head Of Wealth Advisory of TISCO Bank Public Company Limited) เปิดเผยว่า ในปี 2565 เศรษฐกิจจะเข้าสู่ช่วงกลางของการเติบโต (Mid Cycle) โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า เศรษฐกิจโลกปี 2565 จะเติบโตแบบชะลอตัวมาอยู่ที่ 4.9% จากปี 2564 ที่คาดว่าจะเติบโต 5.9% โดยมีปัจจัยกดดัน 3 ประการ ได้แก่ 1. การระบาดของ COVID-19 ที่ยังยืดเยื้อจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่มีความรุนแรงในการแพร่ระบาดมากกว่าเดิมที่อาจจะนำไปสู่การกลับมาใช้มาตรการ Lockdown และจะเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่แต่ละประเทศเริ่มมีข้อจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการใช้เม็ดเงินอัดฉีดไปในช่วงก่อนหน้านี้
และ 3. นโยบายการเงินจากปัญหาเงินเฟ้อที่คาดว่าจะทรงตัวระดับสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลาง ทำให้เกิดการเปลี่ยนนโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้นอย่างชัดเจน โดย Fed น่าจะยุติการทำ QE ในไตรมาส 1 นี้ และอาจเริ่มขึ้นดอกเบี้ยทันทีอีกราว 3 ครั้งในปี 2565 ซึ่งสภาพคล่องที่ลดลงและดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้นชัดเจน จะเป็นปัจจัยกดดันต่อ Valuation ของตลาดหุ้นในปีนี้ โดยข้อมูลในอดีตชี้ว่า ค่าอัตราราคาต่อกำไร (P/E) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) จะลดลงเฉลี่ย 5% ในช่วง 2-3 เดือนหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก
นายณัฐกฤติกล่าวอีกว่า จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้กลยุทธ์การลงทุนปี 2565 จึงอยู่ในสภาวะที่ไม่ได้มีตัวเลือกมากนัก โดยคาดว่า 'หุ้น' จะสร้างผลตอบแทนดีกว่าตราสารหนี้ ซึ่งมีความเสี่ยงและอาจจะไม่คุ้มค่าการลงทุนเท่าใดนักในช่วงที่ดอกเบี้ยกำลังเป็นเทรนด์ขาขึ้น อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้หุ้นจะเป็นสินทรัพย์ที่น่าจะสร้างผลตอบแทนเป็นบวกได้ในปีนี้ แต่ผลตอบแทนก็ย่อมผันผวนไปตามปัจจัยลบที่เกิดขึ้น ดังนั้น จึงแนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนระยะยาวเพื่อกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน และเน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีการเติบโตระดับสูงสอดรับกับ Megatrends
สำหรับในปี 2565 ธนาคารทิสโก้แนะนำทยอยสะสม 3 ธีมการลงทุนหลัก ดังนี้
โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต และหุ้นกลุ่มนวัตกรรมการแพทย์ นับเป็นเมกะเทรนด์ ที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว
ทั้งนี้ แนะนำว่าสำหรับตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่น นักลงทุนควรใช้กลยุทธ์ "ทยอยซื้อ" ในจังหวะที่ตลาดปรับตัวลง เพื่อหาจังหวะทำกำไรในช่วงที่ราคาปรับตัวขึ้น