ตลอดระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร (มทม.) ให้ความสำคัญและมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาระบบการศึกษาอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อให้ทันตามยุคสมัยและรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และในปี 2565 นี้ มทม. ยังคงมุ่งเดินหน้าพัฒนาด้านการศึกษา พัฒนาหลักสูตรและรูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดแบบ Active Learning และ Real Life Education รวมถึงผลักดันและส่งเสริมงานการวิจัยของนักศึกษาและคณาจารย์ เพื่อให้ก้าวสู่ความเป็นเลิศของมหาวิทยาลัยด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ผศ. ดร. ภานวีย์ โภไคยอุดม รองอธิการบดี ฝ่ายนโยบายและแผน และคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ทายาทรุ่นที่ 2 บุตรชายของศาสตราจารย์ ดร. สิทธิชัย โภไคยอุดมผู้ก่อตั้งและอธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร กล่าวว่า ปี 2565 นี้ถือเป็นปีแห่งความท้าทายของการศึกษาอีกครั้งในการรับมือกับสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ ณ ขณะนี้ และสถานการณ์ทั่วโลกยังคงมีระบาดอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร (มทม.) ยังคงตั้งใจแน่วแน่ในการพัฒนาและขับเคลื่อนระบบการศึกษาของประเทศเพื่อมุ่งเน้นผลิตบัณฑิตรุ่นใหม่ ๆ ให้เป็น "นักนวัตกร" ที่มีคุณภาพสู่ภาคอุตสาหกรรมของประเทศ
"ในช่วง 2 ปี ที่เราเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 การปรับตัวและใช้ชีวิตแบบ new normal กลายเป็นวิถีชีวิตปกติของผู้คนในสังคมในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านไลฟ์สไตล์ ธุรกิจ และระบบการศึกษา ฯลฯ ซึ่งหมายความว่าเทคโนโลยีเข้ามีบทบาทจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตประจำวันของมนุษย์ในปัจจุบัน ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่เราจะต้องเข้าใจในมิติการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจและระบบเศรษฐกิจไทย เพื่อให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน และเป็นเหตุผลให้นักเรียนเลือกสถานศึกษาที่ดีที่สุดและเหมาะกับตัวเองมากที่สุด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานครนั้น นอกจากมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนเพื่อให้สอดคล้องและเกิดประสิทธิผลสูงสุดแก่นักศึกษาแล้ว เรายังคงเดินหน้าพัฒนามหาวิทยาลัยฯ ทั้งในด้านอาคารเรียนและห้องปฏิบัติการ รวมถึงหลักสูตรการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ในปี 2564 เราได้เปิดอาคาร สถาบันนวัตกรรมมหานคร (Mahanakorn Institute of Innovation หรือตึก MIIX) ขึ้น เพื่อพัฒนาหลักสูตรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มุ่งเน้นด้านวิศวกรรมศาสตร์
ด้วยเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่มุ่งเน้นผลิตบัณฑิตวิศวกรรมที่มีศักยภาพเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมของประเทศ และต่อยอดแนวคิดจากอาคาร MII ที่เป็นศูนย์พัฒนา บ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ของนักศึกษา เราจึงใช้งบประมาณกว่า 180 ล้าน ในการสร้างอาคารเรียนใหม่ให้เป็นสถาบันนวัตกรรมแห่งความเป็นเลิศ หรืออาคาร MIIX (Mahanakorn Institute of Innovation) ซึ่งเสร็จสมบูรณ์ในเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์อาคารให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดแก่นักศึกษา ในการนำความรู้ทางทฤษฎีบวกกับความคิดสร้างสรรค์ของตนเองมาพัฒนาจากการทดลอง(Experiment) มาปฏิบัติด้วยตนเองจนสั่งสมเป็นประสบการณ์ (Experience) และความชำนาญ (Expertise) ให้เกิดเป็นรูปธรรมและใช้งานได้จริง เป็นไปตามวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่จะก้าวสู่มหาวิทยาลัยแห่งความเป็นเลิศ (Excellence) ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม" โดยอาคาร MIIX นี้ ได้รวบรวมห้องทดลองและห้องปฏิบัติการต่าง ๆ อาทิ ห้องปฏิบัติการหุ่นยนต์ (Robotics LAB) ที่รวบรวมแขนกลโรงงานระดับแบรนด์ชั้นนำ ABB KUKA และ Yaskawa ห้องพิมพ์ขึ้นรูปสามมิติ (3D Printing Room) โรงงานผลิตน้ำดื่ม (Process Control and Automation LAB) ห้องปฏิบัติการ PLC Mitsubishi และ PLC Siemens (Programmable Logic Control) ห้องปฏิบัติการขั้นสูง อาทิ ห้อง Advanced Electronics LAB เป็นห้องปฏิบัติการเครื่องมือเฉพาะ สำหรับการตรวจวัดสัญญาณไฟฟ้าระดับพิเศษความถี่สูง การเกิดสัญญารบกวน คลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า สัญญาณการสื่อสารไร้สาย และห้อง Embedded and AI ห้องปฏิบัติการที่ประกอบด้วยเครื่องมือวัด โปรแกรมประยุกต์ สื่อการพัฒนาระบบ ซึ่งมีใช้งานระดับอุตสาหกรรม เพื่อให้นักศึกษาได้ใช้ทดสอบและวิเคราะห์ แล้วนำมาซึ่งการสังเคราะห์สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาสู่ตลาดและภาคอุตสาหกรรม ด้วยการฝึกใช้เครื่องมือ ฝึกการคิดวิเคราะห์ และแยกแยะ ฝึกการประยุกต์ใช้และต่อยอดความรู้ในด้านการประดิษฐ์นวัตกรรม เป็นต้น
ในปี 2565 มทม. มีการพัฒนาหลักสูตรใหม่เพิ่มเติมในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ทั้งหลักสูตรภาษาไทยและหลักสูตรนานาชาติ อาทิ หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมสื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ วิศวกรรมควบคุมอุตสาหกรรมและเครื่องมือวัด วิศวกรรมกระบวนการผลิต วิศวกรรมอุตสาหการและโลจิสติกส์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีแผนการลงทุนและพัฒนาในอีกหลายด้านต่อไปในอนาคต รวมถึงมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมทุนกับองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนอีกหลายแห่ง ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ อาทิ บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด, ทรู คอร์ปอเรชั่น, สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบก, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT), ด้านความร่วมมือทางวิชาการกับสถาบันการศึกษาชั้นนำในต่างประเทศ ครอบคลุมทั้งเรื่องการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน การวิจัย การแลกเปลี่ยนคณาจารย์ และอื่น ๆ เช่น การจัดตั้งห้องวิจัย Mahanakorn Laboratory ที่มหาวิทยาลัย อิมพีเรียล คอลเลจ ประเทศอังกฤษเพื่อเป็นห้องวิจัยของอาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร และความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนอาจารย์ นักศึกษา การวิจัยกับ The University of New South Wale ประเทศออสเตรเลีย และ เดอะ ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ เชฟฟิลด์ (The University Of Sheffield) ในประเทศอังกฤษ ฯลฯ ที่ผ่านมทม. ได้ประสบความสำเร็จในด้านการสำเร็จการศึกษาอย่างมีคุณภาพโดย 95% ของบัณฑิตที่จบจาก มทม. มีงานทำ นักศึกษาและผู้ปกครองจึงมั่นใจได้ว่า มทม. จะสามารถผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานยุคใหม่ในอนาคตป้อนสู่ภาคอุตสาหกรรม อันเป็นรากฐานสำคัญของแผนยุทธศาสตร์ภายใต้ ไทยแลนด์ 4.0 ที่จะผลักดันโครงการเขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและภาคบริการ บนฐานของเทคโนโลยีสมัยใหม่และนวัตกรรมของประเทศไทยเราให้เจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ดร. ภานวีย์ กล่าวสรุป
สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรเพิ่มเติมได้ที่ 02-988-4021-4 หรือ m.me/mutmahanakorn หรือสนใจสมัครเรียนได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเองที่ https://www.mut.ac.th/admission###