ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมถือเป็นกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ส่งออกสินค้านำรายได้เข้าสู่ประเทศในแต่ละปีอย่างมหาศาล จากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกในด้านต่าง ๆ ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมต้องปรับตัวพัฒนาระบบและรูปแบบในการดำเนินงาน ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพเพื่อให้ทันต่อการแข่งขันในตลาดโลกและการแข่งขันในอนาคต ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 8 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จึงสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินงาน โดยใช้ Logistics และ Supply Chain ( ห่วงโซ่อุปทาน ) มาปรับใช้ให้เข้ากับธุรกิจอุตสาหกรรมแต่ละประเภท
ธุรกิจอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และอะไหล่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2565-2567 ตลาดในประเทศโตเพิ่มขึ้นจากความต้องการในตลาด OEM (Original Equipment Manufacturer คือ การผลิตสินค้าให้กับลูกค้านำไปติดแบรนด์เอง) คาดว่าจะขยายตัวตามปริมาณการผลิตยานยนต์ ขณะที่ตลาด REM (Replacement Equipment Manufacturers) จะเติบโตตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณยานยนต์สะสม โดยเฉพาะยานยนต์ที่มีอายุมากกว่า 5 ปีที่มีอยู่มากกว่า 26 ล้านคัน ซึ่งมีความต้องการซ่อมแซมและเปลี่ยนชิ้นส่วนฯ ตามอายุการใช้งาน โดยเฉพาะความต้องการชิ้นส่วนสำคัญที่มีมูลค่าสูง เช่น ระบบเครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน เป็นต้น
ดังนั้นการขนส่งโลจิสติกส์จึงเป็นส่วนหัวใจสำคัญในการช่วยอุตสาหกรรมกระจายส่วนยานยนต์และอะไหล่ การวางระบบโลจิสติกส์ที่ดีจะสามารถลดต้นทุนการกระจายสินค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการกระจายสินค้าไปยังลูกค้า โดยสินค้าไปถึงสถานที่ที่กำหนดได้ทันตามเวลาที่ต้องการ อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานในปริมาณที่ครบถ้วนถูกต้อง ด้วยต้นทุนที่ต่ำสุด เพิ่มระดับการบริการที่สร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันโดยการเลือกใช้ "บริการขนส่งพัสดุด่วน" ที่มีบริการหลากหลาย เหมาะสมกับชิ้นส่วนรถยนต์หรืออะไหล่ที่มีขนาดใหญ่และมีมูลค่าสูง มีเครือข่ายในการขนส่งครอบคลุมทั่วประเทศ และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด
ปัจจุบันมีบริษัทขนส่งพัสดุด่วนอย่าง BEST Express (เบสท์ เอ็กซ์เพรส) ผู้ให้บริการ รับ - ส่ง พัสดุด่วนทั่วไทย ที่มีจุดบริการมากกว่า 1,000 สาขาครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ ภายใต้การบริหารงาน บริษัท เบสท์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ที่สามารถรองรับการจัดส่งพัสดุขนาดชิ้นเล็กไปจนถึงใหญ่พิเศษ โดยเน้นโฟกัสธุรกิจทั้งในรูปแบบ B2B B2C และ B2B2C เป็นหลัก ซึ่งมาพร้อมด้วย 2 บริการเด่น ที่เหมาะกับกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมโดยตรง ได้แก่ บริการ "BEST Big Parcel หรือ ขนส่งพัสดุด่วนขนาดใหญ่" ด้วยค่าบริการที่ถูกกว่า (เงื่อนไขตามที่บริษัทกำหนด) เหมาะสำหรับกลุ่มธุรกิจแบบ B2B และ B2C ด้วยบริการที่สามารถรองรับการจัดส่งน้ำหนักปริมาตรได้สูงสุดถึง 300 กิโลกรัม เพื่อหวังขยายฐานลูกค้ารายใหม่ที่ต้องการส่งพัสดุขนาดใหญ่ โดยต้องมีน้ำหนักปริมาตรสูงสุดไม่เกิน 300 กิโลกรัม (น้ำหนักจริงไม่เกิน 100 กิโลกรัม) และมีขนาดพัสดุทั้ง 3 ด้าน (กว้าง + ยาว + สูง) รวมกันแล้วไม่เกิน 600 เซนติเมตร หรือมีขนาดด้านใดด้านหนึ่งไม่เกิน 200 เซนติเมตร
และบริการ "BEST Multiple Parcel หรือบริการส่งพัสดุหลายกล่องรวมกันใน 1 เวย์บิล สู่ปลายทางเดียวกัน" เป็นบริการที่ถูกออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างความยืดหยุ่นในการจัดส่งพัสดุให้กับกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์หรือกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ที่บริษัทฯ สามารถให้บริการจัดส่งได้ ด้วยการจัดส่งพัสดุแบบแยกชิ้นส่งหลายกล่องโดยจะส่งรวมกันใน 1 เวย์ส่งไปยังจุดหมายปลายทางเดียวกัน เนื่องจากบางครั้งสินค้าที่ออกจากโรงงานมีขนาดใหญ่เกินมาตรฐานการจัดส่งไม่สามารถประกอบรวมกันได้ขณะนั้น ทางโรงงานจึงแยกชิ้นส่วนส่งแต่รวมไปในเวย์บิลเดียวกัน และไม่ว่าจะส่งแยกชิ้นหรือส่งกี่กล่องทางโรงงานก็สามารถตรวจเช็คสถานะพัสดุได้ด้วยเลขเวย์บิลเดียว ซึ่งง่ายต่อการติดตามพัสดุแบบแยกชิ้นส่งหลายกล่องไปยังพื้นที่ปลายทางเดียวกัน ช่วยป้องกันการสูญหายของพัสดุระหว่างทางการจัดส่งไปยังลูกค้าปลายทางได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นยำ
เรียกใช้บริการ BEST Express ดีอย่างไร
อ่านรายละเอียดบริการเพิ่มเติมได้ที่:
- บริการส่งพัสดุชิ้นใหญ่ คลิกที่นี่ https://bit.ly/3Gnh7UM
- บริการส่งพัสดุหลายชิ้นรวมใน 1 เวย์บิล คลิกที่นี่ https://bit.ly/3HrkxXV
หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ LINE Official Account: @BESTEXPRESSTH คลิกลิงก์ที่นี่ http://nav.cx/yKWubHS หรือหากไม่สะดวกโปรดติดต่อศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์โทร: 02-108-8000