ธุรกิจยุคใหม่ต้องปรับตัวอยู่เสมอและไม่หยุดนิ่ง 'ข้าวไก่แจ้' แตกไลน์สินค้าเจาะใจผู้บริโภค จับเทรนด์สุขภาพด้วยผลิตภัณฑ์ธัญพืช-ถั่ว-พริกไทย บุกตลาด 'น้ำปลาร้า' ยอดฮิต เน้นรสชาติถูกปาก ปลอดภัย มีมาตรฐานการผลิตที่ดี เพิ่มช่องทาง 'ฟู้ดเซอร์วิส' บริการส่งถึงที่ทั่วไทย ช่วยร้านอาหารและผู้ประกอบการ 'ลดต้นทุน' ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 3,000 ล้าน เร่งขยายฐานลูกค้าในประเทศ พร้อมผลักดันธุรกิจเข้าสู่ตลาดโลก
ธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุนทรธัญทรัพย์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุงแบรนด์ "ไก่แจ้" บอกเล่าถึงสถานการณ์ธุรกิจในปีที่ผ่านมาและการปรับตัวที่สำคัญให้ฟังว่า ด้วยความที่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหาร จึงไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากนัก และในบางช่วงก็ได้รับอานิสงส์จากการที่บางประเทศ 'สต็อกสินค้า' สั่งซื้อในปริมาณที่มากขึ้น
โดยตลาดต่างประเทศเติบโตขึ้นจากเดิมถึง 30% หลังบุกตลาดในโซนยุโรปไปแล้ว 7 ประเทศ รวมถึงตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก แอฟริกาใต้และโซนตะวันออกกลาง
ขณะเดียวกัน แบรนด์ไก่แจ้ ก็มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นอกเหนือสินค้าชูโรงอย่างข้าวสาร เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าในประเทศควบคู่ไปด้วย พร้อมเพิ่มช่องทางการขายอย่าง 'ฟู้ดเซอร์วิส' การจัดจำหน่ายและบริการทางออนไลน์ สร้างการรับรู้ให้เข้าถึงผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงปรับการทำงานในองค์กรให้ทันสมัย
ในปีนี้ จึงเป็นการต่อยอดและขยายไปสู่ตลาดใหม่ ที่มีฐานลูกค้ากว้างขึ้นกว่าเดิม ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เน้นไปที่สินค้าอุปโภค-บริโภคตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้คนทุกวัย
นอกจากนี้ ยังได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากร้านอาหารและโรงแรมต่างๆ เพราะแบรนด์ไก่แจ้ได้เข้าไปช่วยในการลดต้นทุน พร้อมบริการส่งถึงที่เข้าถึงทุกพื้นที่ในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีเครือข่ายลูกค้าผู้ประกอบการอยู่นับหมื่นราย
"เรายึดว่าเราเป็น Service Company ให้บริการในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ พร้อมผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ด้วยความที่เราเริ่มต้นจากการเป็นแบรนด์เล็กๆ จากต่างจังหวัด ก็ยิ่งจะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคมากเป็นพิเศษ"
พัฒนาไม่หยุดนิ่ง แตกไลน์สินค้าไทยสู่ตลาดโลก
นอกจากการจำหน่ายข้าวสารตราไก่แจ้ และขนมไทยภายใต้แบรนด์แม่นภาแล้ว ตอนนี้บริษัทมีการขยายไปยังกลุ่มสินค้าธัญพืช ถั่วต่างๆ ข้าวบาร์เลย์ งาและพริกไทย ข้าวคั่ว กระเทียมเจียว หอมเจียว ผงปรุงรส ไปจนถึงสายอาหารญี่ปุ่นอย่าง สาหร่าย ขิงดอง ผงปรุงรส น้ำซอสต่างๆ
และล่าสุดกับสินค้ายอดฮิตอย่าง 'น้ำปลาร้า' ที่มาภายใต้แบรนด์ใหม่ในเครือคือ 'เติมไทย' ที่มุ่งเน้นพัฒนารสชาติให้ถูกปาก สะอาด ปลอดภัย มีมาตรฐานการผลิตที่ดีและสามารถส่งออกไปได้ทั่วโลก
เรียกได้ว่ามีการส่งผลิตภัณฑ์มากมาย ออกมาทำตลาดอย่างต่อเนื่องในช่วงโควิด-19 คว้าโอกาสในทุกช่วงเวลา และตั้งเป้าออกสินค้าใหม่ให้ได้ 3-5 ผลิตภัณฑ์ต่อเดือน
"เราเลือกที่จะไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์วิกฤตหรือไม่ จะพยายามทำสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่จำกัดอยู่ที่สินค้าเดียว ซึ่งเป็นทั้งความท้าทายและการสร้างความยั่งยืนให้องค์กร พร้อมยึดมั่นในเอกลักษณ์ของแบรนด์ การันตีในคุณภาพ คงความพรีเมียมและใกล้ชิดกับผู้บริโภค"
ทั้งนี้ ปัจจุบันแบรนด์ไก่แจ้ มีสัดส่วนตลาดในประเทศอยู่ที่ 85% และต่างประเทศอยู่ที่ 15%
ด้วยความที่ 'อาหารไทย' ขึ้นชื่อเป็นเมนูยอดฮิตระดับท็อปของโลกและมีตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เขาจึงมีแพชชั่นที่จะส่งเสริมและผลักดันสินค้าใหม่ๆ ที่แตกไลน์ออกมาให้เข้าถึงตลาดโลก ให้คนต่างชาติรู้จักวัตถุดิบอาหารไทยมากขึ้นด้วย
สำหรับช่องทางการจัดจำหน่าย เบื้องต้นจะเน้นไปตามเครือข่ายกลุ่มลูกค้าเดิมทั้งในประเทศและส่งออก พร้อมขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ ทำโปรโมชั่นขายออนไลน์และในเร็วๆ นี้จะวางขายทั่วไปตามโมเดิร์นเทรด
เดินหน้า 'ข้าวไก่แจ้ Support'
ด้านโครงการ "ข้าวไก่แจ้ Support" ที่มุ่งให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารและร้านค้าขนาดเล็กที่ประสบปัญหาในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ตอนนี้ก็ดำเนินการต่อเนื่องมานานหลายปีแล้ว นับเป็นส่วนเล็กๆ ที่ได้ช่วยเหลือสังคม
โดยมีการซัพพอร์ตข้าวสารให้กับกลุ่มร้านอาหาร ร้านค้าตามชุมชน รวมไปถึงโรงพยาบาลเฉลี่ยอย่างน้อย 10 แห่งต่อเดือน นอกจากนี้ ยังมีทีมงานที่นำข้าวกล่องไปแจกจ่ายให้ประชาชนทั่วไปที่ประสบปัญหาต่างๆ ด้วย
"ข้าวไก่แจ้ Support ขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยแบ่งเบาภาระผู้ประกอบการและผู้บริโภค เราอยากให้ทุกคนอยู่ได้และก้าวต่อไปด้วยกัน"
กล้าออกจาก 'Safe Zone' เพื่อทำสิ่งใหม่
เมื่อถามถึงบทเรียนที่ได้จากช่วงโควิดที่ผ่านมา ธีรินทร์บอกว่า สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้จุดอ่อนและจุดแข็งของเรา อะไรที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ แม้ในยามที่สถานการณ์ไม่แน่นอน
ขณะเดียวกัน จะต้องไม่ตื่นตระหนกและไม่มั่นใจจนเกินไป ยืดหยุ่นและปรับตัวอยู่ตลอดเวลา พยายามมองไปข้างหน้า พร้อมที่จะมองเห็นโอกาส ไม่เอาปัญหาในปัจจุบันมาทำให้เราท้อจนถอย
"แม้จะเป็นในยามที่ต้องกลัว หรือต้องเซฟตัวเองไว้ก่อน แต่ในช่วงโควิด กลับกลายเป็นปีทองของไก่แจ้ที่ได้ทดลองทำในสิ่งใหม่ ได้ออกสินค้ามามากที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา"
เหล่านี้ทำให้แบรนด์ไก่แจ้เติบโตกว่า 10% ในปีที่ผ่านมา และมีรายได้รวมถึง 2,500 ล้านบาท โดยในปี 2565 ตั้งเป้าไว้ที่ 3,000 ล้านบาท สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้ เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา แต่ความท้าทายสำคัญยังอยู่ที่ 'กำลังซื้อของผู้บริโภค' ที่ต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ รายได้ที่ลดลง ทำให้ยังคงต้องรัดเข็มขัดการใช้จ่าย โดยมองว่ารัฐควรมีมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยออกมาอย่างต่อเนื่อง และเข้าถึงทุกคนให้มากที่สุด
สุดท้ายผู้บริหารแบรนด์ไก่แจ้ ฝากถึงผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่กำลังจะเข้ามาในตลาดและเริ่มทำธุรกิจว่า "สิ่งสำคัญคือต้องมีความอดทน ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เพราะการทำธุรกิจย่อมมีอุปสรรคเสมอ มีปัญหาเข้ามาทุกวัน ทำให้คุณท้อ อยากล้มเลิก แต่คุณต้องไม่ถอย แล้วโฟกัสไปที่จุดหมายของเรา กล้าที่จะปรับตัวให้เร็ว ไม่หยุดนิ่งอยู่กับสิ่งเดิมๆ"