บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK ผู้ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย รายงานผลประกอบการประจำปี 2564 มีกำไรสุทธิ 471.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.3% จาก 367.6 ล้านบาทในปี 2563 ประกาศจ่ายปันผล 0.50 บาท/หุ้น ฉลองครบรอบ 50 ปี ด้านสถานะเงินสดหลังจากชำระคืนหุ้นกู้ในปี 2564 จำนวน 670 ล้านบาท แล้วยังมีเงินสดและเงินฝากอยู่ที่ระดับ 2,581.7 ล้านบาท D/E ณ ปี 2564 อยู่ที่ 0.23 เท่า ลดลงจาก 0.37 เท่า ในปี 2563 ซึ่งพร้อมใช้ชำระเพื่อซื้อกิจการ MFIL ในเมียนมาเมื่อสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น เร่งขยายตัวทั้งธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในไทยและต่างประเทศ รวมทั้งเปิดดำเนินการธุรกิจใหม่ที่เพิ่งได้ใบอนุญาตเพิ่มเติม ประกาศเดินหน้าเป็นบริษัทชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน
นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK เปิดเผยว่าเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวต่อเนื่อง ส่งผลกระทบโดยตรงกับการบริโภคในประเทศ อีกทั้งหนี้ครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 89.3% ของ GDP ณ สิ้นไตรมาส 3/2564 และอาจมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นอีก โดยประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนสูงเป็นอันดับ 5 ของเอเชีย และสูงเป็นอันดับ 12 ของโลก ส่งผลจากเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ติดลบ 6.1% ซึ่งติดลบเป็นรองแค่ปี 2541 ที่ติดลบ 10.8% จากวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ทั้งนี้ ในปี 2564 เศรษฐกิจไทยได้กลับมาขยายตัวอีกครั้งที่ 1.6% ด้านตลาดรถจักรยานยนต์ในปี 2564 มียอดจำหน่ายที่ 1,611,078 คัน เพิ่มขึ้น 6.1% หลังจากที่มียอดจำหน่ายลดลง 3 ปีต่อเนื่อง ส่วนตลาดรถยนต์มียอดจำหน่ายลดลง 3 ปีต่อเนื่อง โดยมียอดจำหน่าย 759,119 คัน ลดลง 4.2% โดยทั้งสองตลาดได้รับผลกระทบจาก Supply Disruption ของ Semiconductor Chip ขาดตลาด
ธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และรถยนต์แปรผันตามตลาด อย่างไรก็ตาม จากสภาพตลาดและเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม TK ดำเนินกิจการด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะการคงมาตรการที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและการควบคุมคุณภาพลูกหนี้มาโดยตลอด ประกอบกับการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและให้บริการด้วยการใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีต่าง ๆ ช่วยให้ผลการดำเนินงานในปี 2564 มีกำไรสุทธิ 471.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.3% จาก 367.6 ล้านบาทในปี 2563 อีกทั้งคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท เพื่อเป็นการขอบคุณผู้ถือหุ้นที่ไว้วางใจและสนับสนุน TK ด้วยดีเสมอมาจนครบ 50 ปี ในปี 2565 นี้ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 250 ล้านบาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 53.0 ของกำไรสุทธิ โดยจะปิดสมุดพักการโอนหุ้นเพื่อรับเงินปันผลในวันที่ 8 มีนาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 19 พฤษภาคม 2565 นี้ ด้านสถานะทางการเงิน TK มีเงินสดหลังจากชำระคืนหุ้นกู้ในปี 2564 จำนวน 670 ล้านบาท แล้วยังมีเงินสดและเงินฝากอยู่ที่ระดับ 2,581.7 ล้านบาท ซึ่งมากพอสำหรับใช้ชำระเพื่อซื้อกิจการ MFIL ในเมียนมา ใช้เร่งขยายตัวทั้งธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในไทยและต่างประเทศทันทีที่สถานการณ์ปรับไปในทิศทางที่ดีขึ้น รวมทั้งใช้เปิดดำเนินการธุรกิจใหม่ที่เพิ่งได้ใบอนุญาตเพิ่มเติม สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อจำนำทะเบียน และธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย ภายในไตรมาส 2 ปี 2565 รวมทั้งจะยังคงเดินหน้าขยายงานเพื่อเติบโตต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและในอาเซียน เพื่อเป้าหมายที่จะเป็นบริษัทชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน
ด้าน นายประพล พรประภา กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ TK กล่าวเพิ่มเติมว่าหนี้ครัวเรือนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในประเทศไทย เป็นผลให้ลูกหนี้เช่าซื้อและลูกหนี้ให้กู้ยืมสุทธิอยู่ที่ 3,949.4 ล้านบาท ลดลง 14.0% โดย ณ สิ้นปี 2564 กลุ่มบริษัทมีสินทรัพย์รวม 6,979.0 ล้านบาท ลดลง 5.1% จาก 7,356.8 ล้านบาท และมีหนี้สินรวม 1,322.0 ล้านบาท ลดลง 33.9% จาก 2,000.5 ล้านบาท เมื่อเทียบจากปีที่ผ่านมา
นายประพลกล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านตลาดในต่างประเทศ ในปี 2564 TK มีลูกหนี้เช่าซื้อต่างประเทศ จำนวน 1,134.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.9% จากปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน 31.26% ของลูกหนี้เช่าซื้อ ซึ่งทางบริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนลูกหนี้ในตลาดต่างประเทศและลูกหนี้ในประเทศเป็น 50:50 ได้ในปี 2565 นอกเหนือจากการเพิ่มรายได้ภายในประเทศจากทั้งธุรกิจเช่าซื้อและจากธุรกิจใหม่ที่เพิ่งได้ใบอนุญาตเพิ่มเติม ทั้งนี้ TK ดำเนินธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และรถยนต์ในราชอาณาจักรกัมพูชา ภายใต้ชื่อ "Suosdey Finance PLC" และในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ภายใต้ชื่อ "Sabaidee Leasing Co.,Ltd" รวมทั้งดำเนินธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ในเมียนมา ภายใต้ชื่อ "Mingalaba Thitikorn Microfinance Co., Ltd." ณ สิ้นปี 2564 TK มีสาขาในต่างประเทศรวม 16 สาขา คือ ราชอาณาจักรกัมพูชา จำนวน 12 สาขา สปป. ลาว จำนวน 3 สาขา และเมียนมา จำนวน 1 สาขา ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนจะเพิ่มจำนวนสาขาอีก 3 สาขา รวมทั้งสิ้นเป็น 19 สาขา ภายในสิ้นปี 2565 นี้