ฤกษ์ดีปีเสือทอง ตลท.กดปุ่มรับ A5 คืนสังเวียนกลับเข้าเทรดตลาดหลักทรัพย์ mai ตั้งแต่ วันที่ 7 มี.ค.65 หลังแก้ไขเหตุเพิกถอนสามารถนำส่งงบการเงินได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดครบทุกไตรมาส พร้อมผงาด!! อีกครั้ง ด้านผู้บริหาร "ศุภโชค ปัญจทรัพย์" เป็นปลื้มวางเป้ายอดขายปี 65 ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท และเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,200 ล้านบาท พร้อมตั้งการ์ดรับมือ COVID-19
นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 ประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีบริษัทย่อย 2 บริษัท พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดและบ้านจัดสรรเพื่อขาย เปิดเผยว่าปัจจุบันบริษัทฯ สามารถนำส่งงบการเงินได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ครบทุกงวด มีรายได้หลักและกำไรจากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขายตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และรายงานของผู้สอบบัญชีแสดงความเห็นอย่างไม่มีเงื่อนไข
โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบระบบการควบคุมภายในของระบบงานที่สำคัญและดำเนินการแก้ไขปรับปรุงเรียบร้อยแล้วซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบ ได้พิจารณาความเพียงพอของระบบควบคุมภายในว่ามีความเหมาะสมแล้ว เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 ทั้งนี้บริษัทฯ มีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยการรับหุ้นสามัญหรือหุ้นบุริมสิทธิเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ดังนั้นตลท.จึงอนุมัติให้หลักทรัพย์ของบริษัท (A5) กลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2565 เป็นต้นไป
นายศุภโชค กล่าวต่อไปว่าบริษัทฯ มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยปัจจุบันมีบริษัทย่อย 2 แห่ง คือบริษัท แอสเซท ไฟว์ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด หรือ (AFD) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลักที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 96.67 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว และบริษัท รชยาเรียลเอสเตท จำกัด หรือ (RCY) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ AFD ถือหุ้นร้อยละ 99.99ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีกิจการร่วมค้าอีก 1 แห่งคือบริษัท ต้นสน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (TONSON) ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 47.50 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯ เตรียมเปิดโครงการใหม่รวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,200 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 1 โครงการ ในพื้นที่กรุงเทพฯ มูลค่า 2,700 ล้านบาท และบ้านแนวราบในจังหวัดอุดรธานี 2 โครงการ มูลค่า 500 ล้านบาท และวางเป้าหมายยอดรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ 1,000 ล้านบาท โดยยอดรับรู้รายได้ส่วนหนึ่งจะมาจากการขายและโอนบ้านพร้อมอยู่เฟสสุดท้ายในโครงการวนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9-ศรีนครินทร์
"โครงการส่วนใหญ่ของกลุ่มบริษัทฯ เป็นอสังหาริมทรัพย์แนวราบที่ก่อสร้างทีละเฟส (Phase) สามารถคาดการณ์แนวโน้มอัตราการดูดซับ รวมถึงชะลอการก่อสร้างได้ในกรณีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายชะลอการตัดสินใจ ในขณะที่โครงการคอนโดมิเนียม ระดับซูเปอร์ ลักซ์ชัวรี่ ของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเล CBD ขายได้แล้วกว่าร้อยละ 80 ของยูนิตทั้งหมด และลูกค้ากลุ่มระดับซูเปอร์ ลักซ์ชัวรี่ ผ่อนชำระเงินดาวน์อย่างสม่ำเสมอ เห็นได้ว่าผลกระทบจากสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจของประเทศต่อผลประกอบการของกลุ่มบริษัทฯ มีไม่สูงมากและสามารถบริหารจัดการได้" นายศุภโชค กล่าว
อย่างไรก็ตามผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่ส่งผลต่อการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ส่งผลให้เกิดการปรับตัว ดังนั้นบริษัทฯ จึงให้ความสำคัญและมุ่งเน้นในการคิดค้นออกแบบสินค้าและบริการให้ตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค พร้อมกับมีการปรับในส่วนของการทำงานภายในองค์กรของกลุ่มบริษัทฯ ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการประสานงานและเพื่อให้การทำงานสามารถบรรลุผลได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น