บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า เผยผลประกอบการในปี 2564 ผลการดำเนินงานเป็นไปตามที่คาดการณ์ ทั้งยอดโอนและยอดขาย โดยมียอดโอนสูงถึง 10,014 ล้านบาท และสามารถสร้างการเติบโตของยอดขายได้กว่า 12,700 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาส 4 มียอดโอน 2,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 37% จากไตรมาส 3 นอกจากนี้ยังสามารถปิดการขายถึง 4 โครงการ ในปี 2564 โดยขณะนี้มีแบ็คล็อคกว่า 6,400 ล้านบาท ใน 4 Unpack โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่จะรับรู้รายได้ในปี 2565 ตอบรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการ LTV ในปี 2565 เตรียมลุยเปิดตัวธุรกิจใหม่ และเปิด 7 โครงการใหม่มูลค่ากว่า 28,400 ล้านบาท
นายเสริมศักดิ์ ขวัญพ่วง ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการการดำเนินการในปี 2564 บริษัทฯ สามารถทำผลงานใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่ามีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และประชาชนในวงกว้าง อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 4 มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยในไตรมาส 4 มียอดโอนถึง 2,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 37% โดยเฉพาะยอดโอนจากแนวราบในไตรมาส 4 เท่ากับ 593 ล้านบาท เติบโตกว่า 70% จากไตรมาส 3
สำหรับในปี 2564 บริษัทฯ มียอดโอนทั้งสิ้น 10,014 ล้านบาท โดยยอดโอนแนวราบเพิ่มขึ้น 27% รวมถึงมียอดขายรวม 12,717 ล้านบาท ใกล้เคียงกับประมาณการ ซึ่งยอดขายส่วนใหญ่มาจากโครงการพร้อมอยู่ที่ความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์มีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังได้มีการปิดการขาย 4 โครงการ ได้แก่ โครงการไอดีโอ โมบิ วงศ์สว่าง-อินเตอร์เชนจ์ มูลค่า 1,573 ล้านบาท โครงการไอดีโอ โมบิ บางซื่อ-แกรนด์ อินเตอร์เชนจ์ มูลค่า 2,272 ล้านบาท โครงการไอดีโอ โมบิ อโศก มูลค่า 3,235 ล้านบาท และโครงการเอลลิโอ เดล มอสส์ มูลค่า 3,468 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์และกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัวกลับมา
สำหรับปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการปรับตัวตามสถานการณ์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการรับมือกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายให้ลดลงได้ถึง 18% จากปีก่อน โดยในปี 2565 ได้มีสถาบันวิจัยหลายแห่ง เชื่อว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ซึ่งมีสัญญานที่ดีจากการเริ่มทยอยเปิดโครงการใหม่ในช่วงปลายปี 2564 และตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้บริษัทฯ เชื่อว่าในปี 2565 สถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น ทุกอย่างจะกลับสู่ภาวะปกติ ผู้คนจะเริ่มกลับมาใช้ชีวิตในเมืองซึ่งสอดคล้องกับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัท
โดยในปี 2565 บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการใหม่จำนวน 7 โครงการ มูลค่ากว่า 28,400 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ และโครงการแนวราบ 2 โครงการ ด้วยกลยุทธ์ ANANDA NEW BLUE มองหาโอกาสใหม่ๆ พร้อมแนวคิดการพัฒนาที่อยู่อาศัยและบริการในรูปแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการชีวิตคนเมืองที่ปรับเปลี่ยนไปหลังโควิด รวมถึงการผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับอินเตอร์เนชั่นแนล อาทิ มิตซุย ฟูโดซัง บีทีเอส กรุ๊ป เพรสซิเดนท์ ดี เวนเจอร์ ดุสิตธานี สแครทช์ เฟิร์สท์ และดิ แอสคอทท์ เป็นต้น
ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมซึ่งใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 1,274 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของผู้ถือหุ้นที่จะเติบโตไปพร้อมกับบริษัทฯ ซึ่งเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสถานะการเงินของบริษัทฯ รวมทั้งยังทำให้บริษัทฯ มีโครงสร้างเงินทุนหรืออัตราส่วนทางการเงินที่เหมาะสมต่อการขยายธุรกิจตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ อีกทั้งในเดือนมกราคม ปี 2565 บริษัทยังประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ จำนวน 5,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและบริษัทยังคงได้รับการสนับสนุนต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายสามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายในการรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนไว้ไม่ให้สูงเกินไปภายใต้เป้าหมายระยะยาวที่ 1:1