'บมจ. โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล' หรือ KISS โชว์ผลการดำเนินงานฝ่าสถานการณ์โควิด-19 พยุงรายได้และกำไรจากการดำเนินงานรับมือตลาดความงามติดลบ ต่อยอดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบรนด์หลัก Rojukiss เติบโตต่อเนื่องแม้ในช่วงเวลาที่ท้าทาย เสริมแกร่งด้วยยอดส่งออกต่างประเทศพุ่ง 124 ล้านบาท เติบโต 174% สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ปลื้มช่องทางออนไลน์โตสอดรับพฤติกรรมนักช้อป ด้านบอร์ดประกาศจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง 0.10 บาทต่อหุ้น ตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นหลังครบรอบก้าวสู่ตลาดหลักทรัพย์ 1 ปี พร้อมประกาศแผนโรดแมปปี 2565 เร่งเครื่องชูนวัตกรรมความงามและสุขภาพเต็มกำลัง ต่อยอดสร้างการเติบโต
นางวรวรรณ ไชยกำเนิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KISS ผู้พัฒนานวัตกรรมและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพภายใต้แบรนด์ Rojukiss, Best Korea และ Sis2Sis เปิดเผยว่า ในปี 2564 ถือเป็นปีแห่งความท้าทายในเชิงการบริหารจัดการเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้ตลาดผลิตภัณฑ์ความงามมีการชะลอตัว ทั้งนี้ KISS ได้มีการปรับแผนรับมือกับสภาวการณ์นี้เพื่อรักษาผลการดำเนินงาน โดยสามารถสร้างรายได้จากการขายสินค้าและบริการรวมอยู่ที่ 772 ล้านบาท ลดลง 20 % โดยยังคงมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 119 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 15.4% ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นผลจากการดำเนินงานที่มุ่งให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯ เป็นสำคัญ เพื่อฝ่าวิกฤติความท้าทายจากผลกระทบโรคระบาดที่มีต่ออุตสาหกรรมและเศรษฐกิจโดยรวมที่ยากจะเลี่ยงได้
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวเสริมว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ยังคงเป็นความท้าทายที่ยากจะคาดการณ์ได้ โดย KISS มีความมั่นใจในการบริหารจัดการและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การเติบโตในทุกด้าน เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ปรับเปลี่ยนไป หรือต่อสถานการณ์ของตลาดโดยรวมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ยังคงสามารถสร้างการเติบโตแบรนด์ Rojukiss ที่เป็นแบรนด์หลักในกลุ่มสกินแคร์ได้อย่างต่อเนื่องถึง 4% สวนทางสภาวะตลาดหดตัว อันเป็นบทพิสูจน์ถึงการมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในแบรนด์หลักของเรา โดยบริษัทฯ ขยายพอร์ตโฟลิโอต่อยอดนวัตกรรมเซรั่มของโรจูคิสอย่างต่อเนื่อง ด้วยการออกสินค้าใหม่อย่างผลิตภัณฑ์แชมพูเซรั่มเปลี่ยนสีผมภายใต้แบรนด์ Rojukiss ตอบรับกระแส DIY (DO IT YOURSELF) ที่มีเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายโดยเน้นการเติบโตในส่วนของ e-Commerce ผ่านช่องทางออนไลน์ที่สามารถเติบโตได้กว่า 2 เท่าจากปีก่อน ตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ทำงานจากบ้าน (Work from Home) และหันมาซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญ การขยายธุรกิจสกินแคร์ภายใต้แบรนด์ Rojukiss เข้าไปในต่างประเทศมีการเติบโตที่ดีมาก ทั้งในประเทศลาว กัมพูชา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอินโดนีเซีย โดยในปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการส่งออกรวมทั้งสิ้นกว่า 124 ล้านบาท เติบโต 174% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ รวมทั้งการขยายแบรนด์ Rojukiss และ Sis2Sis เข้าในประเทศเวียดนามเป็นครั้งแรกเมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา
จากการที่ KISS ได้ก้าวสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครบรอบ 1 ปี ท่ามกลางความท้าทายจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม โดยบริษัทฯ ยังคงสามารถสร้างผลกำไรจากการดำเนินงานสูงถึง 119 ล้านบาทในปี 2564 ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผล ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาทต่อหุ้น เป็นเงินจำนวน 60 ล้านบาท โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2565 อนุมัติในวันที่ 25 เมษายน 2565
สำหรับแผนกลยุทธ์การเติบโตในปี 2565 บริษัทฯ มีแผนการตลาดและกระจายสินค้าในการผลักดันแบรนด์ Rojukiss ที่เป็นแบรนด์หลักอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการทำการตลาดเพื่อให้เป็นแบรนด์และสินค้านวัตกรรมของแบรนด์ที่ได้รับการพูดถึงและอยู่ในกระแสอย่างเต็มรูปแบบโดยเฉพาะในช่องทางดิจิตอล โดยเน้นการเติบโตในช่องทางร้านค้าเพื่อสุขภาพและความงาม และรุกช่องทางออนไลน์ทั้ง e-Com Marketplace และ Social Commerce ต่อเนื่องควบคู่กัน นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนงานเชิงรุกในการเติบโตต่อเนื่องในตลาดต่างประเทศอย่างเต็มสูบ โดยเน้นการสร้างแบรนด์และเพิ่มยอดขายในประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม ทั้งในช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ ทั้งนี้ ในปีนี้บริษัทฯ ยังได้เข้าลงทุนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บริษัท ไฮไบโอไซ จำกัด เพื่อต่อยอดการขยายธุรกิจรุกตลาดสุขภาพอย่างเต็มตัว ผ่านการพัฒนานวัตกรรมสเปรย์พ่นจมูกที่มีเทคโนโลยีที่ออกแบบมาจำเพาะเพื่อป้องกันและยับยั้งเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งได้รับการพัฒนา คิดค้นและวิจัยโดยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญคนไทย บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าจะเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการเรื่องสุขภาพที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ สามารถต่อยอดขยายผลการเติบโตให้กับบริษัทฯ ได้อย่างเข้มแข็ง โดยคาดว่าจะวางจำหน่ายได้ในไตรมาส 3 ปี 2565 นี้