สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ หรือ STI ใจป้ำ ควักกระเป๋าจ่ายปันผลทั้งหุ้นและเงินสด โดยปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 0.8 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ เทียบเป็นมูลค่า 0.625 บาท/หุ้น บวกกับเงินสดอีก 0.0694444444 บาท/หุ้น กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น 11 พฤษภาคม กำหนดจ่ายปันผล 27 พฤษภาคม 2565 พร้อมก้าวสู่การเติบโตครั้งสำคัญในการย้ายเข้าซื้อขายใน SET วางเป้าปี 65 รายได้ทะลุ 2,000 ล้านบาท หลังเดินหน้าประมูลงานใหม่ ทยอยรับรู้รายได้งานในมือที่ตุนไว้ 4,000 ลบ. หนุนรายได้ทำสร้างสถิติสูงสุดประวัติการณ์
นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ผู้นำกลุ่มธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้างครบวงจร เปิดเผยถึง วาระการประชุมที่สำคัญคือการอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.8 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล รวมจำนวนไม่เกิน 335,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 167,500,000 บาท หรือคิดเทียบเป็นมูลค่าเท่ากับอัตราการจ่ายปันผลหุ้นละ 0.625 บาท ทั้งนี้ ในกรณีเศษของหุ้นจากการจัดสรรหุ้นปันผลดังกล่าว บริษัทฯจะจ่ายปันผลเป็นเงินสดแทนการจ่ายเป็นหุ้นปันผลในอัตราหุ้นละ 0.625 บาท พร้อมเสนออนุมัติจ่ายปันผลเป็นเงินสดให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.0694444444 บาท เพื่อรองรับการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือคิดเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 18,611,111.10 บาท จะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับปันผลเป็นหุ้นสามัญและเงินสด (Record Date) ในวันที่ 11 พฤษภาคม กำหนดจ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญและเงินสด ภายในวันที่ 27 พฤษภาคม 2565 ทั้งนี้การให้สิทธิในการรับปันผลเป็นหุ้นสามัญและเงินสดต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ในวันที่ 29 เมษายน 2565 ในรูปแบบผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-AGM)
ในส่วนของผลประกอบการงวดปี 2564 (มกราคม-ธันวาคม 2564) STI ผนึกกำลังบริษัทในกลุ่ม ส่งผลให้มีรายได้จากการให้บริการรวมของกลุ่ม STI จำนวน 1,732.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 162.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยรายได้จากธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้างเพิ่มขึ้น 220.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการรวมรายได้เต็มปี 2564 ของบริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด ("AEC") ในปี 2564 ในขณะที่ปีก่อนรวมรายได้เพียง 8 เดือน ส่วนรายได้จากการให้บริการปี 2564 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนของบริษัทในกลุ่ม STI เดิม มีการลดลงเล็กน้อยเป็นผลจากการพัฒนาโครงการบางส่วนมีการชะลอตัวเนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด แต่โครงการหลักๆยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ One Bangkok โครงการปรับปรุงศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โครงการอาคารชุดพักอาศัยหลายโครงการ โครงการอาคารสำนักงาน และโครงการประเภทอาคารอเนกประสงค์
ด้านรายได้จากธุรกิจออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมและธุรกิจอื่นมีจำนวนลดลง 57.9 ล้านบาท หรือลดลง 16.6% โดยมีสาเหตุหลักเนื่องมาจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดเช่นเดียวกันทำให้งานบริการในธุรกิจนี้มีความล่าช้าไม่สามารถดำเนินการเพื่อส่งมอบงานได้ตามแผนที่วางไว้ โดยเฉพาะงานบางส่วนของ AEC ที่มีงานเกี่ยวเนื่องกับการจัดประชุมสาธารณะหรืองานสำรวจโครงการที่ไม่สามารถดำเนินการได้ภายใต้สถานการณ์โควิด ในขณะที่กลุ่มบริษัทมีการรับรู้รายได้จาก AEC ในปีก่อนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะจากโครงการออกแบบรายละเอียดงานโยธารถไฟความเร็วสูงไทยจีน ช่วงที่ 2 นครราชสีมา- หนองคาย
สำหรับกำไรขั้นต้นปี 2564 กลุ่ม STI มีกำไรขั้นต้น 507.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 29.3% ซึ่งลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 31.8% ขณะที่มีกำไรสุทธิสำหรับปีอยู่ที่ 144.4 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิต่อรายได้รวม 8.3% ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ที่มีอัตรากำไรสุทธิต่อรายได้รวมที่ 9.5% ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิดทำให้เกิดต้นทุนการให้บริการที่เพิ่มขึ้นจากงานพัฒนาโครงการบางส่วนที่มีการชะลอตัวและงานบริการบางส่วนไม่สามารถดำเนินการเพื่อส่งมอบงานได้ตามแผนที่วางไว้
ขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจปี 2565 เตรียมเข้าประมูลงานใหม่ทั้งส่วนงานภาครัฐบาลและเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันกลุ่ม STI มีงานในมือ (Backlog) อยู่ประมาณ 4,000 ล้านบาท คาดทยอยรับรู้รายได้ในปี 2 - 3 ปี แบ่งสัดส่วนเป็นงานของภาครัฐบาล 70 % และเอกชนสัดส่วน 30 %
นอกจากนี้ STI มีแผนขยายความเชี่ยวชาญไปยังลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยที่ผ่านมาเริ่มมีส่วนร่วมในงานโรงพยาบาลมากขึ้น อาทิเช่น โครงการศูนย์การแพทย์รามาธิบดีศรีอยุธยา มูลนิธิรามาธิบดี อีกทั้งยังมีโครงการสวนสาธารณะส่วนงานที่ปรึกษาคุมงานก่อสร้างโครงการสวนป่าเบญจกิติ ระยะที่ 2 และ 3, งานศูนย์ราชการในส่วนที่ปรึกษาคุมงานโครงการก่อสร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่ และเมื่อรวมกับบริษัทในเครือ บริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด หรือ AEC ซึ่งเชี่ยวชาญโครงสร้างพื้นฐาน อาทิเช่น งานท่าอากาศยานในส่วนที่ปรึกษาคุมงานก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภา เมืองการบิน เฟส1 และมีงานโครงสร้างพื้นฐานและงานสาธารณูปโภคของภาครัฐอยู่ในมืออย่างต่อเนื่อง
"ปี 2564 จึงถือเป็นปีแห่งความท้าทาย ที่เราต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการบริหารอย่างทันท่วงที จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้บางโครงการต้องชะลอจากแผน แต่ด้วยจุดเด่นของ STI ที่มีโครงการในมือที่หลากหลาย ทั้งในภาครัฐ ที่มีเม็ดเงินมูลค่ามหาศาล และงานภาคเอกชน สะท้อนโดยผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี บริษัทฯมีรายได้เติบโตเฉลี่ย 25% และยังมีโปรเจกต์ที่รอเปิดตัวในปี 2565 สร้างโอกาสให้ STI ในปี 2565 ตั้งเป้ารายได้ทะลุ 2,000 ล้านบาท และก้าวที่สำคัญหลังจากที่เพิ่มทุนด้วยการจ่ายหุ้นปันผล ทำให้เรามีความพร้อมที่จะยื่นคำขออนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อย้ายขึ้นไปซื้อขายที่ SET" นายสมเกียรติ กล่าว