FLOYD ประกาศผลงานปี 64 มีรายได้อยู่ที่ 377.20 ลบ. เพิ่มขึ้น 131.12% พร้อมเปิดแผนธุรกิจในปี 2565 ชูกลยุทธ์ควบคุมต้นทุนอย่างรัดกุม ปักธงเน้นรักษาฐานลูกค้าเดิม กลุ่มห้างค้าปลีก อาคารสำนักงาน ได้แก่ โฮมโปรฯ เมกะโฮม ที่มีการขยายตัว ในขณะที่งานดาต้าเซ็นเตอร์ มีโอกาสได้งานก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นมากใน 2-3 ปีข้างหน้า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้า คาดได้ข้อสรุปเร็วๆนี้
นายทศพร จิตตวีระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟลอยด์ จำกัด (มหาชน) หรือ FLOYD ผู้ให้บริการรับเหมาติดตั้งงานวิศวกรรมระบบสาธารณูปโภค และระบบดาต้าเซ็นเตอร์ เปิดเผยว่า ผลประกอบการในงวดปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการ 377.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 131.12 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 53.28% จาก 246.08 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผลดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของรายได้ที่สำคัญประกอบด้วยรายได้จากโครงการแนวราบ, อาคารสำนักงาน และดาต้าเซ็นเตอร์ โดยผลกระทบจากโควิด -19 ส่งผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง บริษัทจึงต้องปรับกลยุทธ์ ขยายขอบเขตการรับงานและมุ่งเน้นควบคุมต้นทุน ลดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพื่อสร้างการเติบโตแง่รายได้และกำไร
"ผลงานในปี 2564 รายได้เป็นไปตามเป้าหมายเติบโต 10% จากปีก่อน จากกลยุทธ์เพิ่มศักยภาพการรับงานให้มากขึ้น พร้อมนโยบายควบคุมต้นทุนอย่างรัดกุมแต่ทั้งนี้จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้ต้องปิดไซต์ก่อสร้างตามมาตรการภาครัฐ ส่งผลให้ส่งมอบงานได้ล่าช้า ทำให้สะท้อนถึงกำไรของบริษัทที่ปรับตัวลดลง " นายทศพร กล่าว
บริษัทมองว่าหลังรัฐบาลประกาศปลดโควิด-19 จากโรคระบาดเป็นโรคประจำถิ่น น่าจะเป็นสัญญาณเชิงบวก และธุรกิจของ FLOYD อิงกับระบบสาธารณูปโภค เชื่อว่าน่าจะเป็นปัจจัยบวกของบริษัทฯ ที่ดีให้กลับมาคึกคักได้เหมือนเคย โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในด้านการคมนาคม จะกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ ภาคเอกชนได้รับความเชื่อมั่น ทยอยเปิดตัวงานโครงการใหม่เพิ่มขึ้น และส่งผลดีต่อ FLOYD ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาติดตั้งงานวางระบบแบบครบวงจร ที่ได้รับการยอมรับทั้งในเรื่องคุณภาพงานและการบริการที่รวดเร็วด้วยทีมงานวิศวกรที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในธุรกิจ
"สำหรับแผนธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯ ยังใช้กลยุทธ์เน้นการควบคุมต้นทุน รักษาฐานลูกค้าเดิม ได้แก่ กลุ่มห้างค้าปลีก อาคารสำนักงาน และดาต้าเซ็นเตอร์ พร้อมลุยงานดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่ม ตามความต้องการ Data center ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการใช้เทคโนโลยี Cloud , AI และ Big Data ที่เพิ่มมากขึ้นตามเทรนด์เปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ความเป็นดิจิทัล ,การมาของเทคโนโลยี Metaverse รวมถึง การแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้หลายหน่วยงานปรับเปลี่ยนการทำงาน ประกอบกับรัฐบาลมีการพัฒนาระบบ Cloud กลางภาครัฐ เพื่อการใช้งาน Big Data ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ทั้งภาครัฐและเอกชนเร่งขยายพื้นที่ Data Center
โดยในการก่อสร้างและวางระบบ Mechanical & Electrical (M&E) ของอาคาร Data Center มีความซับซ้อนกว่าอาคารทั่วไป จึงต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในการออกแบบและก่อสร้าง เพื่อให้อาคาร Data Center สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่มาตรฐานกำหนด บริษัทฯในฐานะผู้รับเหมาก่อสร้าง อาคาร Data Center ที่มีทีมงานที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ มองเห็นโอกาสรับงานก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นมากใน 2-3 ปีข้างหน้า โดยบริษัทฯอยู่ในช่วงของการเจรจากับลูกค้าหลายราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้
ขณะเดียวกันที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่สร้างความเติบโตให้กับบริษัทฯ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ได้ภายหลังดำเนินการจดทะเบียนแล้วเสร็จ ซึ่งบริษัทจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบต่อไป โดยมองภาพระยะสั้นของแนวโน้มไตรมาส 1/2565 คาดว่าผลประกอบการจะมีแนวโน้มดีขึ้นเป็นผลจากการทยอยรับรู้รายได้จากการส่งมอบงานในโครงการต่าง ๆ" นายทศพร กล่าว