วิตามินดี (Vitamin D) เป็นหนึ่งในสารอาหารที่จำเป็นมากสำหรับเด็ก โดยแหล่งวิตามินดีที่พบได้ง่ายที่สุดก็คือ " แสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้า " ควรให้เด็กทำกิจกรรมที่ได้รับแสงแดด อย่างน้อย 15 นาที จำนวน 2-4 ครั้ง/สัปดาห์ ช่วงเวลาที่ไม่ร้อนจนเกินไป เช่น เวลาเช้า 6.00 - 8.00 น.หากเด็กขาดวิตามินดี ย่อมส่งผลต่อสุขภาพที่ไม่ดีนัก เพราะวิตามินดีมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ยับยั้งการสลายของกระดูก
ที่สำคัญ วิตามินดี ยังเป็นฮอร์โมนประเภทหนึ่ง ที่มีส่วนช่วยในการสร้างและควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการผลิตอินซูลิน ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของเซลล์ และยังมีส่วนช่วยให้ร่างกายสามารถป้องกันการติดเชื้อ และการเกิดโรคบางโรคได้
เด็กที่ขาดวิตามินดี จะส่งผลต่อกระดูกและกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อน (rickets) อาจพบภาวะกระหม่อมปิดช้า กระโหลกนิ่ม ฟันขึ้นช้า ฝันผุง่าย กระดูกข้อมือ แขนขา ผิดรูป ตัวเตี้ยไม่สมส่วน ในเด็กเล็กอาจมีพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่ล่าช้า เด็กโตอาจมีอาการปวดกระดูกและกล้ามเนื้อ
การขาดวิตามินดียังส่งผลต่อระบบอื่นๆ เช่น ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนได้ง่าย และภูมิแพ้ต่างๆ โรคเบาหวานชนิดที่1 น้ำตาลในเลือดสูง และกลุ่มอาการเมตาบอลิก (โรคอ้วนลงพุง) ถ้าขาดวิตามินดีรุนแรงอาจมีอาการของแคลเซียมในเลือดต่ำได้ เช่น ชักเกร็ง เป็นตะคริว กล้ามเนื้ออ่อนแรง หยุดหายใจ หรือกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมได้
จะเห็นได้ว่าวิตามินดีเป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพกระดูกและพัฒนาการโดยรวมของเด็ก เด็กทุกคนจึงควรได้รับวิตามินดีในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์ แข็งแรงสมวัยและห่างไกลจากโรคต่างๆ นอกจากแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้าแล้ว ยังมีอาหารหลายอย่างที่อุดมไปด้วยวิตามินดี เช่น เนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง นมและผลิตภัณฑ์จากนม น้ำมันตับปลา ปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า
หากคุณพ่อคุณแม่มีข้อสงสัยในการเลือกอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินดีให้ลูก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำ หรือหากสังเกตเห็นสัญญาณของการขาดวิตามินดีในเด็ก ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันทีเพื่อจะได้รับการแก้ไขได้ทันเวลา