สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ 20 ภาคีเครือข่าย ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดย ศูนย์แบรนด์เคยู คณะบริหารธุรกิจ อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค 16 มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดผลสำเร็จโครงการ "นิลมังกร รุ่น 1" โดยผลการประเมินมูลค่าแบรนด์ของผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีการเติบโตของมูลค่าแบรนด์เพิ่มสูงขึ้น มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8 เท่า พร้อมเดินหน้าโครงการ "นิลมังกร รุ่น 2" เพื่อปั้นเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ และธุรกิจนวัตกรรมเพื่อสร้างการจ้างงาน บันดาลใจให้คนในพื้นที่สร้างนวัตกรรมทั้งสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและตลาดได้อย่างตรงจุด
ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า โครงการการแข่งขันสุดยอดธุรกิจนวัตกรรมประเทศไทย หรือ "นิลมังกรแคมเปญ" มีเป้าหมายในการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมในระดับภูมิภาค (Regionalization) ที่มุ่งเน้นการยกระดับความสามารถด้านนวัตกรรมของผู้ประกอบการภูมิภาคให้เติบโตเป็นที่ยอมรับและรู้จักในวงกว้าง โดยอาศัยการสื่อสารรูปแบบ Edutainment ภายใต้ชื่อ "นิลมังกร The Reality" ออกอากาศทางช่อง 7 HD เพื่อทำให้เกิดความน่าสนใจและเข้าถึงการพัฒนานวัตกรรมได้ง่ายขึ้น โดยร่วมกับภาคีทั้ง 20 หน่วยงาน ในการสนับสนุนองค์ความรู้ เครือข่าย แนวทางการสร้างตราสินค้า ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมอื่นๆ ในการสร้าง "นวัตกรสายพันธุ์ไทย" จากทุกภูมิภาคของประเทศให้สามารถเติบโตและสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 3-5 เท่าในช่วงระยะเวลาการแข่งขัน 3 เดือน นอกจากนี้ NIA ยังให้ความสำคัญกับการรับรู้แบรนด์หรือตราสินค้าธุรกิจนวัตกรรมของผู้เข้าแข่งขันแต่ละทีม จึงได้ใช้เครื่องมือการประเมินมูลค่าแบรนด์ คือ การประมาณมูลค่าทางการเงินทั้งหมดของแบรนด์ โดยแบรนด์ถือเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ที่มีมูลค่าสูง สามารถประเมินได้ 4 แนวทาง ได้แก่ แนวทางต้นทุน แนวทางของตลาด แนวทางรายได้ และแนวทางลูกค้า ซึ่งผลประเมินมูลค่าแบรนด์ของผู้เข้าร่วมกิจกรรมเปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังออกอากาศได้ค่าเฉลี่ยมูลค่าแบรนด์ (Brand Value) เป็นค่าความนิยมของแบรนด์จากเดิมก่อนเข้าร่วมโครงการมีมูลค่า แบรนด์อยู่ที่ 50 ล้านบาท และหลังเข้าร่วมโครงการมีการเติบโตของมูลค่าแบรนด์เพิ่มสูงขึ้น มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8 เท่า"
"นิลมังกร สะท้อนถึงผู้ประกอบการไทยที่มีความแข็งแกร่ง อดทน ปราดเปรียว มีพลังความสามารถ เสมือน "ม้านิลมังกร" ในวรรณคดีไทยที่เป็นม้าวิเศษ หรือสุดยอดแห่งม้าในจินตนาการของคนไทย จึงเปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ประกอบการไทยทั้งเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ และกิจการเพื่อสังคมที่มีการใช้นวัตกรรมสร้างสรรค์สินค้าและบริการให้มีความโดดเด่นและแตกต่าง โดยอาศัยอัตลักษณ์ของพื้นที่จนสามารถสร้างมูลค่าและตราสินค้าให้เป็นที่ยอมรับและรู้จักในวงกว้าง ช่วยยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับท้องถิ่นและเศรษฐกิจของประเทศให้มีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 และวิกฤตการณ์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน สำหรับ "นิลมังกรทีมแรกของประเทศไทย" ได้แก่ ทีมไฮด์แอนซีค (Hide and seek) ตัวแทนภาคกลางจากจังหวัดกรุงเทพมหานคร เจ้าของผลงาน "นวัตกรรมทรายแมว" ที่ผลิตจากมันสำปะหลังธรรมชาติ 100% ซึ่งเกิดการเติบโตทางธุรกิจมากกว่า 5 เท่าจากการเข้าร่วมโครงการ "นิลมังกร" ถือเป็นตัวอย่างในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมและใช้เครื่องมือทางด้านนวัตกรรมมาเพิ่มความสามารถในการแข่งขันที่จะส่งผลกับผู้ประกอบการภูมิภาคและประชาชนทั่วไปเกิดความตระหนักรู้ถึงความสำคัญในการใช้นวัตกรรมเพื่อพัฒนาธุรกิจท้องถิ่นเพื่อยกระดับเศรษฐกิจของพื้นที่" ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติม
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม NIA กล่าวว่า "นิลมังกรแคมเปญเป็นแพลตฟอร์มที่ผสมผสานระหว่างการฝึกอบรมให้ความรู้ การวิเคราะห์ปัญหา การนำรูปแบบหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจมาช่วยแก้ไขปัญหา หรือการนำเสนอกลยุทธ์ใหม่ให้กับการทำธุรกิจนวัตกรรมของผู้ประกอบการที่ลงมือทำจริงมีสินค้าหรือบริการแล้ว และต้องการเติบโต โดยอาศัยกลยุทธ์และเทคนิคจากผู้เชี่ยวชาญใน 3 สาขาหลัก ได้แก่ Creative Innovation, Business Model และ Branding & Storytelling ในรูปแบบของการลงไปทำงานในพื้นที่ร่วมกับผู้ประกอบการจริง และสร้างแบรนด์เพิ่มเติม เพื่อให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างและสามารถขยายหรือสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้ ตลอดจนเป็นต้นแบบหรือเป็นฮีโร่ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้คนในพื้นที่สร้างนวัตกรรมทั้งสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและตลาดได้อย่างตรงจุด สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาด และสร้างการเติบโตของธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เมื่อจบกิจกรรม NIA ได้ทำการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจและ/หรือมูลค่าทางสังคมเปรียบเทียบกับงบประมาณที่ใช้ในโครงการ พบว่ารายได้ที่เติบโตขึ้นในระหว่างการออกอากาศ มากกว่า 4 เท่า และคาดว่าในปี 2565 จะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงถึง 18.24 เท่า รวมถึงเกิดการจ้างงานในพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย สำหรับการจัดแข่งขันสุดยอดธุรกิจนวัตกรรมประเทศไทยระดับภูมิภาค รุ่นที่ 2 นี้ เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ - 31 พฤษภาคม 2565 เพื่อเฟ้นหาธุรกิจนวัตกรรมที่มีอัตลักษณ์ของพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ พร้อมโอกาสการต่อยอดทางธุรกิจด้วยโปรแกรมการพัฒนาองค์ความรู้เชิงลึกในด้านนวัตกรรม การบริหารจัดการ และการสร้างแบรนด์ของธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ ชิงรางวัลมูลค่ากว่า 200,000 บาท โดยสามารถสมัครผ่านช่องทางออนไลน์ที่ https://regional.nia.or.th และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fan page: Thailand Inno Biz Champion"
ผศ. ดร.นิคม แหลมสัก รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีการส่งเสริมผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมในหลากหลายรูปแบบมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการนำองค์ความรู้ที่มหาวิทยาลัยมีอยู่มาต่อยอดองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรม เพื่อช่วยสร้างกลยุทธ์ และมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการของไทย สำหรับความร่วมมือกับ NIA ในโครงการ "นิลมังกรแคมเปญ" นี้ นับเป็นความสำเร็จทางวิชาการที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการบ่มเพาะผู้ประกอบการให้สามารถฝ่าวิกฤตทางเศรษฐกิจและยังสามารถสร้างการเติบโตทั้งยอดขายและมูลค่าแบรนด์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่า "ธุรกิจที่มีนวัตกรรมและมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ยังสามารถเติบโตได้" ในส่วนรุ่น 2 ที่กำลังจะเริ่มขึ้นนี้ มหาวิทยาลัยก็ไม่หยุดที่จะพัฒนาเทคนิคและวิธีการในการบ่มเพาะและโค้ชชิ่งผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมทุกรายให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง สง่างาม และยั่งยืนต่อไป"