กรุงเทพฯ--18 ก.พ.--อาร์.เอส.โปรโมชั่น
กลับมาสร้างความฮือฮาอีกครั้ง สำหรับ “เจมส์-เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์” เจ้าของอัลบั้ม “ALIVE” ภายใต้การดูแลของค่าย “ไอดี เรคคอร์ด” ในเครืออาร์.เอส กับเพลงที่ใคร ๆ ก็รู้จักกันดีอย่าง “ในทุก ๆ วันที่ฉันยังหายใจ” ซึ่ง เจมส์จะมพูดถึงการทำงานในอัลบั้มชุดนี้ให้ฟังว่า
ใช้เวลาเตรียมตัวทำอัลบั้มชุดนี้นานไหม?
เจมส์: “อัลบั้มชุดนี้ใช้เวลาทำจริง ๆ 6 เดือนในการแต่งเพลง และอยู่ในห้องอัดเสียงครับ”
ทำไมใช้ชื่ออัลบั้มว่า “ALIVE” มีที่มาที่ไปอย่างไร ?
เจมส์: “หลายคนจะมองว่ามันมีหลายความหมาย บางคนบอกว่ามันคือการมีชีวิตอยู่ มันคือการยังหายใจอยู่ แต่ในความหมายของเจมส์ คำว่า ALIVE จะพูดถึงดนตรีมีชีวิตอยู่เสมอ ดนตรีมีชีวิตชีวา ทุกสิ่งทุกอย่างในอัลบั้มชุดนี้ เมื่อรวมแล้วรู้สึกว่ามันมีชีวิตชีวา เลยเป็นที่มาของคำว่าดนตรีไร้พรมแดน ซึ่งเป็น Concept ของอัลบั้มชุดนี้ครับ ดนตรีไร้พรมแดนในความหมายของเจมส์ คือ ดนตรีมันไม่น่าจะมีเส้นขีดแบ่งขั้นในระหว่างค่าย ระหว่างแนวเพลง ระหว่างอายุ ดังนั้นเจมส์คิดว่าคำว่าไร้พรมแดนในที่นี้ สมมุติว่าเจมส์ไปทำงานกับศิลปินอีกค่ายหนึ่งแล้วจะเป็นยังไง ทำงานกับศิลปินอีกสไตล์หนึ่งจะเป็นยังไง ในที่นี้ผมหมายถึง พี่ ๆ จาก P.O.Pอย่างพี่ก้อ จะลงมือทำเพลง พี่นภ พรชำนิ จะเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับการทำงานในอัลบั้มชุดนี้ มีวงอะแค็บเปล่า 7 ซึ่งจะเป็นดนตรีอีกแนวทางหนึ่งของเค้า เราจับมารวมกัน ทำงานกับนักแต่งเพลงหลาย ๆ คน อย่างพี่ปั๋ง, เกิร์ลลี่ เบอร์รี่, Siamese Ghetto,พดด้วง และนิ้ง สิ่งนี้นำมาสื่อให้คนฟังหรือสื่อให้วงการได้เห็นว่าจริง ๆ แล้วมันน่าจะถึงวันที่ว่าดนตรีมันน่าจะมีเส้นขีดแบ่งอะไรก็ตามที่น่าจะรวมคนทำงานได้หมด เกิดสีสันใหม่ ๆ”
นี่ถือว่าเป็นความพิเศษในอัลบั้มชุดนี้หรือเปล่า ?
เจมส์: “เป็นหนึ่งในความพิเศษเพราะว่า อัลบั้มชุดนี้เหมือนเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบการทำงานในวงการ 10 ปีพอดี เพราะฉะนั้นการเฉลิมฉลองมันก็น่าจะนึกถึงเหมือนกับมันเป็นปาร์ตี้อะไรสักอย่าง ปาร์ตี้สักงานหนึ่ง ปาร์ตี้ก็น่าจะมีพี่ ๆ น้อง ๆ มาร่วมมาแจมเยอะ ๆ มันก็เลยเหมือนกับเป็นความพิเศษ 1 อย่าง และอีกอย่างหนึ่งที่คิดว่ามันพิเศษสำหรับอัลบั้มชุดนี้ คือว่า นอกเหนือจากเรื่องของเพลงที่มันไร้พรมแดนแล้วก็ยังมีเรื่องของภาพซึ่งลิงค์ Concept คำว่า ไร้พรมแดนไปสู่ภาพด้วย เรามองว่าถ้าเกิดเรามีโอกาสได้ทำงานโดยใช้คนไทยนี่แหละ แต่ว่าส่วนประกอบมาจากต่างชาติมันก็คือไร้พรมแดนจริง ๆ ก็เลยเป็นที่มาว่าจากที่เราได้เห็นงานมิวสิกวีดีโอที่ใช้ตากล้องจากไต้หวันมาเป็นผู้ถ่ายทำให้ซึ่งเค้าก็เคยทำงานให้กับศิลปินที่มีชื่อเสียงอย่างเจย์โจว และF4 มาร่วมกับเราแต่ผู้กำกับก็เป็นคนไทย คือ คุณบุ๊ค อลงกต เอื้อไพบูลย์ นี่ก็คือลิงค์ Concept ของคำว่าไร้พรมแดนเหมือนกัน”
แล้วทำไมจึงเป็นตากล้องคนนี้ ได้เลือกเองหรือเปล่า ?
เจมส์: “เลือกเองครับ พอดีมีโอกาสได้ชมมิวสิกวีดีโอของเจโชว ที่ถ่ายที่อิตาลี ตอนนั้นเห็นแล้วก็มีความรู้สึกว่า เจมส์ ณ ปีที่ 11 มันน่าจะมีมุมมองที่เปลี่ยนไป นั่นหมายถึงว่าคนที่จะสื่อสารมุมมองที่เปลี่ยนไปได้ก็คือ คนถ่าย ไม่ได้หมายความว่าคนไทยไม่เก่ง แต่คนไทยมีความสามารถเยอะ แล้วคนไทยก็เคยเห็นเจมส์มา 10 ปีแล้ว ถ้าเกิดเป็นต่างชาติ เค้าเพิ่งจะเคยเห็นเราครั้งแรก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เค้ามอง สิ่งที่เค้าถ่ายเรา อาจจะเป็นมุมมองใหม่ ๆ พอดูมิวสิกวีดีโอเจย์โจวแล้วก็ติดต่อเลยครับ บอกผู้กำกับว่า ผมอยากได้คน ๆ นี้มาร่วมงาน และเค้าก็มีขั้นตอนของเค้านิดหนึ่ง คือ เค้าก็ขอดูProfile ของเรา ดูประวัติ ดูงานที่เราเคยทำ เราก็ขอดูงานของเค้า ก็ไม่นานแค่ 3-4 วันเค้าก็ตกลง”
นอกเหนือจากอัลบั้มที่มีความพิเศษแล้ว ยังมีอะไรที่พิเศษให้แฟน ๆ บ้าง ?
เจมส์: “ตอนนี้สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่เจมส์ฝันมาตลอดตั้งแต่ทำอัลบั้มชุดแรก คือ เจมส์อยากทำโชว์ คำว่าโชว์ในที่นี้มันไม่ใช่แค่คอนเสิร์ต มันไม่ใช่แค่การยืนร้องเพลงในอัลบั้มให้คนฟังได้ฟัง แล้วมันไม่ใช่แค่แฟนเพลง แค่กลุ่มวัยรุ่น สิ่งที่เจมส์ใฝ่ฝันก็คือว่าเจมส์อยากจะเห็นภาพ ยายจูงหลานมาดู หรือมากันทั้งครอบครัวเลย อยากสร้างความบันเทิงสำหรับคนทุกเพศทุกวัย โดยที่การแสดงบนเวทีนั้นอาจจะไม่ใช่แค่เพลงอย่างเดียว ซึ่งในอัลบั้มชุดนี้ครบรอบ 10 ปี เรากำลังคิด กำลังเริ่ม ที่จะทำสำหรับโชว์ ใช้ชื่อว่า วันเจมส์โชว์ วันเจมส์โชว์นี้ก็จะเป็นความบันเทิงสำหรับทุกเพศทุกวัยจริง ๆ ส่วนเรื่องรายละเอียดวันเจมส์โชว์คิดว่าน่าจะแถลงเร็ว ๆ นี้ เราตั้งเป้าไว้ว่าจะไปให้ทั่วประเทศ”
พูดถึงลุคส์ ที่เปลี่ยนไป แล้วลุคส์นี้เป็นยังไงบ้าง ?
เจมส์: “ลุคส์นี้มีดีไซเนอร์ ซึ่งดีไซเนอร์ คือ พี่ลองจิตร สินสมบูรณ์ เป็นดีไซเนอร์ชั้นนำที่ผมรู้จัก จริง ๆ แล้วลุคส์ต่าง ๆ มาจากสิ่งที่เราเป็นอยู่ ณ วันนี้ หลายคนถามว่าเจมส์เปลี่ยนไป ดูลุคส์เปลี่ยนไปมากเลย แต่ว่าก่อนที่จะออกอัลบั้มชุดนี้ ผมหายไป 2 ปี จากอัลบั้มชุดที่แล้ว 2 ปี ที่ผ่านมานี่แหละ คือรอยต่อ นี่แหละคือสิ่งที่มันเกิดภาพลักษณ์ใหม่ เพราะเราก้าวเข้าสู่คนทำงานจริง ๆ จัง ๆ แล้วก็การแต่งตัวมันโตขึ้น เพราะฉะนั้นพี่ลองเค้าดึงจุดนี้แหละ คือคำว่านักร้องมันต้องมีความเป็นแฟชั่นด้วย มันต้องมีความเป็นโชว์อยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นก็ดึงชีวิตประจำวัน ดึงสิ่งที่เราแต่งในทุก ๆ วันของเราเองมาเป็นการแต่งกายในอัลบั้มชุดนี้ ก็ตอบคำถามที่ว่ามันก็เกิดมาจากสิ่งที่จำเป็นอยู่ทุก ๆ วันนี่แหละ”
แล้วเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเข้าสู่งานเบื้องหลังหรือคนดนตรีอย่างเต็มตัวหรือเปล่า ?
เจมส์: “ตรงจุดนั้นก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งว่าถึงตอนนี้เจมส์คิดว่าการทำงานเบื้องหลังกับการทำงานเบื้องหน้าต่างก็เป็นอาชีพทั้งสองอย่างนั่นแหละ จากเมื่อก่อนเราทำงานเบื้องหน้า คืออาชีพของเรา เบื้องหลังคืองานอดิเรกทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่วันนี้มันคืออาชีพทั้ง 2 อย่างเพราะฉะนั้นมันก็เหมือนกับเราลงมาเต็มตัว”
มีส่วนร่วมอะไรบ้างกับตำแหน่งงานที่ได้รับในไอดี เรคคอร์ด ?
เจมส์: “ถ้าพูดถึงงานในอัลบั้มเจมส์ก่อน ก็คือ เจมส์เป็นExecutive Producer ก็เปรียบเสมือนคนที่ดูแลทั้งระบบทั้งหมด ตั้งแต่เพลง เนื้อร้อง ดนตรี มิวสิกวีดีโอ ทุก ๆ อย่างที่จะนำเสนอออกไปสู่ผู้ชมผู้ฟัง อันนี้คือสิ่งที่เจมส์ต้องดูแลทั้งหมด แต่ต่อจากนั้นก็ไม่ได้มาทำคนเดียว ก็จะต้องมีทีมงานที่มาช่วยเหลือเป็นแขนเป็นขาให้ นี่พูดถึงงานตัวเอง ส่วนงานของไอดี เรคคอร์ด สโคปก็ยิ่งกว้างไปกว่างานของตัวเองอีก เพราะว่างานของไอดี เรคคอร์ด ต้องดูทุก ๆ อัลบั้ม เป็นExecutive Producer ต้องดูเรื่องของงาน เสร็จแล้วไม่พอต้องดูว่าทำยังไง จะไปสู่คนบริโภคยังไง นั่นหมายถึงว่าดูเรื่องการโปรโมชั่น ต้องดูเรื่องภาพลักษณ์ของศิลปิน ต้องดูเรื่องของผลประกอบการของค่ายด้วย”
ในส่วนของไอดี เรคคอร์ด จะมีแนวทางอย่างไร ?
เจมส์: “แนวทางของไอดี เรคคอร์ดอย่างปีที่แล้วผมวางไอดีไว้ว่าทำอย่างไรก็ได้ให้คนหันมามองไอดี มันต้องเกิดแผนที่ว่ามันต้องทำสิ่งที่เรียกว่าสร้างความแตกต่างในตลาดให้เกิด สังเกตได้จากปีที่แล้ว Siamese Ghetto ซึ่งเป็นวง Hip Hop วงแรกของอาร์.เอส.ฯ แล้วตามด้วยนักเปียโนตาบอดที่ชื่อโจ้ เดอะเพียนิส มันก็คือว่าทุกคนทำอะไรอยู่ แปลก แล้วต่อด้วยวงมะตูมซึ่งถือว่าเป็นวงบิ๊กแบนวงแรกของอาร์.เอส.ฯเหมือนกัน แล้วก็ต่อด้วยพดด้วง ซึ่งน้องพดด้วงแม้จะเป็นPOP แต่ก็เป็นPOPผู้หญิงที่แปลกด้วยภาพลักษณ์ของเค้าอยู่แล้ว นี่คือปีแรกที่เราทำให้คนหันมามองเรา มาถึงปี 48 ปีนี้ เราจะทำให้คนรักไอดีให้ได้ นั่นหมายถึงว่า ศิลปินเราวางไว้ทั้งหมด 7 เบอร์จะต้องส่งสารไปสู่ผู้บริโภคหรือว่าจะต้องทำให้ผู้บริโภครับรู้ได้ว่า แต่ละคนเค้าจะมารักเราได้อย่างไร คือแต่ละคนต้องมีแนวทางที่ชัดเจน”
ได้ยินว่าจะแยกวงมาเป็นไอดี คิดส์ ?
เจมส์: “ใช่ครับ ปีนี้นอกจากจะมีไอดี เรคคอร์ดแล้ว เราก็จะแตกค่ายหนึ่งค่าย นั่นก็คือ ไอดีคิดส์ เจมส์คิดว่า วัยรุ่น ผู้ใหญ่ มีเพลงได้ วัยรุ่นยังมีค่ายเพลงของวัยรุ่น เด็กทำไมถึงไม่มีค่ายเพลง ผมมองแบบนี้ ผมมองว่าเด็กก็ต้องการความบันเทิงเหมือนกัน มันก็จะเป็นความบันเทิงสำหรับเด็ก แต่ที่เราทำไอดี คิดส์ขึ้นมา เรามีเป้าหมายที่เหมือนกับเรามีความรับผิดชอบในสังคมอยู่อย่างหนึ่งว่า ความบันเทิงของคนแต่ละเพศแต่ละวัย แต่ละช่วงอายุไม่เหมือนกัน ความบันเทิงของผู้ใหญ่แบบหนึ่ง ความบันเทิงของวัยรุ่นแบบหนึ่ง บางทีวัยรุ่นก็อาจจะเน้นความบันเทิงมากกว่าสาระ ผู้ใหญ่มีสาระด้วยบันเทิงด้วย แต่เด็กต้องทำยังไงให้ได้สาระโดยไม่รู้สึกว่าเป็นสาระ อันนี้คือโจทย์ของไอดี คิดส์ ก็คือว่าเราจะมีความบันเทิงซึ่งจะเอาคำว่าสาระแอบแฝงให้เค้าไป ไอดี คิดส์ของเราก็จะเป็นค่ายเพลงเด็กค่ายแรก แล้วเป้าหมายก็คือว่าเราต้องเป็นเจ้าตลาดเพลงเด็กให้ได้ในปี 48 นี้”
แล้วเอ๊ะมีส่วนช่วยอะไรในไอดี เรคคอร์ดบ้าง ?
เจมส์ : “โดยตำแหน่งแล้วเอ๊ะจะเป็น ครีเอทีฟ มีส่วนช่วยคือตัวเอ๊ะเอง เค้าเป็นคนเทรนดี้มาก เค้าเป็นคนที่อยู่กับแฟชั่นแล้วก็มีความทันสมัยในตัวเองค่อนข้างสูง เวลาคิดอะไรแล้วจะสามารถช่วยกันมองศิลปิน ภาพลักษณ์ที่ออกไปสู่สายตาประชาชนน่าจะเป็นอย่างนี้ เค้าจะช่วยเป็นที่ปรึกษาด้วยแล้วเป็นคนคิดด้วย”
ทำงานด้วยกันอย่างนี้ยิ่งสบายใจจึงยังไม่คิดเรื่องแต่งงานหรือเปล่า ?
เจมส์ : “ทำงานด้วยกันก็มีข้อดีข้อเสีย ข้อดีก็คือว่า เราเหมือนกับไม่มีเวลาให้กัน กลับกลายเป็นมีเวลาให้กันทั้งวัน ทำงานก็เจอกันบ่อยมาก แต่มันก็มีข้อเสียตรงที่ว่าไม่ว่าจะอยู่ในเวลางานหรือนอกเวลางาน มันก็จะคุยแต่เรื่องงาน เพราะว่ามันเป็นงานอย่างเดียวกัน บางทีเสาร์-อาทิตย์ คุยเรื่องอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็โยงมาเรื่องงานอีกแล้ว ซึ่งตรงนี้ผมว่ามันไม่ใช่ข้อดีสักเท่าไหร่”
เส้นทางดนตรี 10 กว่าปีที่ผ่านมา แล้วยังทำงานด้านดนตรี กลัวบ้างหรือไม่ว่าวันหนึ่งเราจะตัน คิดเพลงไม่ออก ?
เจมส์ : “ไม่กลัวครับเพราะว่า ผมจะมีวิธีคิดอยู่อย่างหนึ่งว่า อย่าคิดว่าตัวเองเก่า อย่าคิดว่าตัวเองล้าหลัง หรืออย่าคิดว่าตัวเองเป็นคลื่นลูกเก่า อย่างคนหลาย ๆ คนทำงานไปแล้วพอวันหนึ่งประสบความสำเร็จแล้ว เหมือนคลื่นลูกใหม่มาซัดก็จะหายไป ผมคิดว่าจริง ๆ แล้ว ทุกคนถ้าเปรียบเสมือนคลื่น อย่าคิดว่ามันใหม่หรือเก่า ขอให้คิดว่าตัวเองเป็นคลื่นลูกใหม่อยู่ตลอดเวลา และขอให้คิดว่าการทำงานของเรา เราออกชุดแรกอยู่ตลอด ผมคิดอย่างนี้ครับ คือผมคิดว่าวันนี้ถึงออกชุดที่ 20 เรารู้สึกว่าออกชุดแรกอยู่เลย เรารู้สึกว่าเรา Fresh อยู่ตลอดเวลา คิดอย่างนี้มากกว่ามันเลยตื่นเต้นตอนเวลาทำงาน”
ทุกวันนี้มีความสุขกับการทำงานไหม ?
เจมส์ : “เคยมีคำกล่าวไว้ว่าใครที่ตื่นมาแล้วไม่รู้สึกทำงาน คนนั้นมีความสุขที่สุดในโลก ผมว่าผมเป็นอย่างนั้นอยู่ เพราะอย่างหนึ่งคือ มีงานอดิเรกเป็นอาชีพ 2 อย่าง ผมชอบแต่งเพลง ผมชอบร้องเพลง ผมได้ร้องเพลงผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นงาน ผมรู้สึกว่าเป็นงานอดิเรกซึ่งพอไปร้องคนก็ฟัง แล้วร้องตาม คนก็ให้การต้อนรับเราอย่างดี อีกอย่างก็คือ ทุกวันนี้ การบริหารค่ายเพลงมันก็ไม่ได้เป็นงาน เหมือนมาพักผ่อน การบริหารค่ายเพลงถ้าใครจับจุดมันได้ ผมว่ามันเป็นงานที่น่าสนใจมาก ๆ เลยคือว่า ถ้าวางแผนอยู่กับความบันเทิง ผมรู้อยู่อย่างหนึ่งว่าถ้าจะทำงานบันเทิง ต้องทำด้วยความบันเทิง ถ้าทำด้วยความเครียด มันก็สื่อความบันเทิงไปสู่คนดูคนฟังไม่ได้ เพราะฉะนั้นไอดี เรคคอร์ดทุกคนทำด้วยความบันเทิง ไม่เครียด”
ถ้าอนาคตนั่งเก้าอี้ผู้บริหารแล้ว ยังสนใจเรื่องงานร้องเพลงอยู่หรือเปล่า ?
เจมส์ : “ต้องบอกตรงนี้เลยว่า ถ้าวันหนึ่งไปทำอะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับเพลงแต่ก็จะไม่ทิ้งเรื่องเพลงอย่างแน่นอนเพราะเพลงมันเหมือนกับว่าเป็นจิตวิญญาณของเราอยู่แล้วมันไม่สามารถที่จะแยกออกจากตัวเจมส์ได้ยังไงต้องร้องเพลง แต่ถ้าถามว่าการร้องเพลงในแต่ละปี ๆ มันต้องถูกเปลี่ยนไปบ้าง เหมือนเดิมบ้างก็แล้วแต่วัฎจักรของการทำงานมากกว่าแต่ก็ยืนยันว่าผ่านไปกี่ปี ๆ ก็จะร้องจนกว่าจะไม่ไหวกันไปข้างหนึ่ง”
ผลงานเพลงชุดนี้พอใจมากน้อยแค่ไหน ?
เจมส์ : “ก่อนที่จะทำเสร็จออกมาให้คนฟังได้ฟังแล้ว มันคือการกลั่นกรองมาจากตัวเจมส์ กลั่นกรองมาจากทีมงานแล้ว เราพอใจเราเต็มที่ที่สุดแล้วถึงจะปล่อยออกไปสู่คนฟัง”
คาดหวังกับชุดนี้หรือเปล่า ?
เจมส์ : “การทำงานทุก ๆ อัลบั้มคาดหวังหมดแต่สิ่งที่คาดหวังไม่ได้คาดหวังด้านปริมาณ ยอดขาย กระแสความนิยมไม่ใช่ สิ่งที่คาดหวังมันคาดหวังในเชิงคุณภาพมากกว่า เชิงความสุขในการทำงานมากกว่า ว่าทำงานชุดนี้แล้วต้องมีความสุข ทำแล้วมันต้องได้คุณภาพที่เราพอใจนะ สิ่งที่เราทำแล้วเราคาดหวังกับมันแล้วเราทำไปเสร็จแล้ว เราทำไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนความคาดหวังที่เป็นเชิงปริมาณ ยอดขายต้องเป็นแสนเป็นล้าน ตรงนี้เราไม่คิดเลยครับ มีความรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีปัจจัยหลาย ๆ อย่างมาประกอบกัน ไม่อยากคิดตรงนั้นคิดแล้วเครียด”
สุดท้ายอยากฝากอะไรกับอัลบั้มชุดนี้ ?
เจมส์ : “จริง ๆ แล้วเป็นรอบ 10 ปีที่มีความสุขมากครับกับการทำงานแล้วก็ ผมเชื่อว่างานชุดนี้เกิดจากความรู้สึกจากการทำงาน แล้วงานที่มีความสุขตอนได้ทำก็ได้สื่อออกมาในเพลง ก็อยากให้ทุกคนลองฟังดู ว่าเจมส์มีความสุขกับการได้ทำงานแล้วสื่อออกมาในเพลงจะเป็นยังไง ลองฟังดูแล้วก็ฟังแล้วอยากจะให้ทุกคนชอบครับ”
ติดตามชมผลงานการพลิกโฉมใหม่ของ “เจมส์-เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์” ที่รวบรวมความพิเศษด้านดนตรีที่รอให้คุณพิสูจน์ กับอัลบั้มใหม่ “ALIVE”ได้แล้ววันนี้
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net--จบ--