'แบรนด์ ซันโทรี่ ประเทศไทย' ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น 'ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย' บริษัทในเครือซันโทรี่ กรุ๊ป สะท้อนความแข็งแกร่งและเป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้แนวคิด ONE SUNTORY เดินหน้าสานต่อเจตนารมณ์ และความมุ่งมั่นของบริษัทแม่ภายใต้วิสัยทัศน์ 'Growing for Good' หรือการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการนำความเชี่ยวชาญจากบริษัทแม่ ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องดื่มสัญชาติญี่ปุ่นชั้นนำระดับโลกมาเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในทุกมิติทั้งการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การขยายตลาดสู่ต่างประเทศ และการพัฒนาทรัพยากรบุคคลพร้อมตอกย้ำความแข็งแกร่งให้กับผลิตภัณฑ์ด้วยการเปลี่ยนชื่อเรียกผลิตภัณฑ์เป็นชื่อ "แบรนด์" (BRAND'S) ที่มาพร้อมกับแพคเกจจิงดีไซน์ใหม่ จัดทัพกลุ่มผลิตภัณฑ์เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์แบรนด์ซุปไก่สกัด (BRAND'S Essence of Chicken) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เรือธงที่สร้างส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับบริษัทฯ ได้เกินกว่า 90% ต่อเนื่องมากว่า 40 ปี กลุ่มผลิตภัณฑ์แบรนด์รังนกแท้ (BRAND'S Bird Nest Drinks) และกลุ่มผลิตภัณฑ์แบรนด์แพลนท์เบสท์สกัด (BRAND'S Plant-based Essence) ที่รวมเอาผลิตภัณฑ์น้ำผักผลไม้เข้มข้นไว้ครบไลน์ เตรียมนำเทคโนโลยีและองค์ความรู้จากบริษัทแม่และบริษัทในเครือทั่วโลกมาวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อส่งออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง
นายอัชวิน ราชโกปาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย และ อินโดไชน่า กล่าวว่า "แบรนด์ ซันโทรี่ ประเทศไทย ดำเนินงานภายใต้กลุ่มบริษัท ซันโทรี่ (Suntory Group) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 ภายใต้ชื่อบริษัท เซเรบอส (ประเทศไทย) จำกัด ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท แบรนด์ ซันโทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ในปี พ.ศ. 2560 โดยมุ่งดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์และพันธกิจที่สอดคล้องกับกลุ่มบริษัท ซันโทรี่ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ดีต่อสุขภาพและมีคุณภาพสอดรับกับแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดกลุ่มบริษัท ซันโทรี่ ได้มีนโยบายในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความเป็นอันหนึ่งเดียวกันของบริษัทต่างๆ ที่อยู่ในเครือทั่วโลก ภายใต้แนวคิด 'ONE SUNTORY' โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสะท้อนภาพการเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก ในด้านสินค้าประเภทเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ จึงเป็นที่มาของการประกาศเปลี่ยนชื่อ "บริษัท แบรนด์ ซันโทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด" เป็น บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) จำกัด" โดยได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการมาตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565"
นายอัชวิน กล่าวต่อว่า "การปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ จะเป็นการยกระดับการดำเนินงานของบริษัทให้ดียิ่งขึ้นสมดั่งเป้าหมายของคณะผู้บริหาร และพนักงานทุกคนที่ว่า "From Good To Great" ซึ่งเป็นการสานต่อวิสัยทัศน์ 'Growing for Good' หรือความมุ่งมั่นในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและแข็งแกร่ง โดยเราจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับบริษัทแม่เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานในทุกมิติ ได้แก่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ เราจะนำความเชี่ยวชาญ องค์ความรู้ และเทคโนโลยีจากบริษัทแม่ฯ มาคิดค้น พัฒนาผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมต่างๆ ส่งมอบให้กับผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง การขยายตลาดสู่ต่างประเทศ ด้วยจำนวนฐานลูกค้าที่ครอบคลุมในพื้นที่ต่างๆทั่วโลก จึงเป็นโอกาสที่บริษัทจะสามารถขยายตลาดไปยังต่างประเทศได้มากขึ้น ในด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคล เรามีทีม 'Center of Excellence' ซึ่งเป็นทีมบุคลากรจากประเทศญี่ปุ่นที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ มาให้คำแนะนำแก่พนักงานในแต่ละแผนกเพื่อยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะจัดเทรนนิ่งให้กับพนักงานเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้กับ ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ในประเทศต่างๆ รวมถึงเปิดโอกาสให้พนักงานที่ต้องการหาประสบการณ์ และสนใจย้ายไปทำงานในประเทศต่างๆที่อยู่ภายใต้เครือของบริษัทอีกด้วย"
"นอกจากนี้ เพื่อตอกย้ำความแข็งแกร่ง และขยายการรับรู้ของผลิตภัณฑ์ บริษัทฯ ได้เปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์เป็นชื่อ "แบรนด์" (BRAND'S) เพื่อทำให้ชื่อ "แบรนด์" มีความสอดคล้องกันเป็นแบรนด์เดียวทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ และได้จัดกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) กลุ่มผลิตภัณฑ์แบรนด์ซุปไก่สกัด (BRAND'S Essence of Chicken) ประกอบด้วย แบรนด์ซุปไก่สกัดแบรนด์ซุปไก่สกัดผสมสมุนไพร และแบรนด์จูเนียร์ 2) กลุ่มผลิตภัณฑ์แบรนด์รังนกแท้ (BRAND'S Bird Nest Drinks) และ 3) กลุ่มผลิตภัณฑ์แบรนด์แพลนท์เบสท์สกัด (BRAND'S Plant-based Essence) ประกอบด้วย แบรนด์เบอร์รี่พลัส แบรนด์ไฟโตดริ้งค์ แบรนด์เจนยู รวมถึงเปลี่ยนดีไซน์บรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ในแต่ละกลุ่ม พร้อมกันนี้ ยังได้เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนาสูตรเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อย้ำจุดยืนในการเป็น King of Essence ของ ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (ประเทศไทย) ให้แข็งแกร่งและชัดเจนยิ่งขึ้น" นายอัชวิน กล่าวสรุป