กรุงเทพฯ--13 มี.ค.--มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์
"สิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล" เผย MILL พร้อมรับมือธุรกิจเหล็กขาขึ้นหลังเทคโอเวอร์"เหล็กบูรพา" แจงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งด้านการผลิต การตลาด และการขนส่ง โดยลดอัตราการสูญเสียในการผลิตลง ทั้งเพิ่มอำนาจต่อรองกับเจ้าของวัตถุดิบให้ได้ราคาดีขึ้น ประเมินหลังผู้ถือหุ้นเห็นด้วยพร้อมรับรู้เป็นรายได้ทันทีในไตรมาส 2/51 หนุนรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดดขึ้นมายืนแถวหน้าของอุตสาหกรรมเหล็ก ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นไป
นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MILL ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเหล็กรายใหญ่ของไทย กล่าวว่าการเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เหล็กบูรพาอุตสาหกรรม จำกัด (เหล็กบูรพา) จำนวน65,862,251 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 85.10 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ถือเป็นการเตรียมความพร้อมของ MILL เพื่อรับมือกับธุรกิจเหล็กที่กำลังเป็นขาขึ้น เนื่องจากจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นทันที สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายขึ้น รองรับกับความต้องการใช้เหล็กที่เพิ่มมากขึ้นได้อย่างคล่องตัว
"หากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 11 เมษายน 2551 อนุมัติให้ MILL ทำรายการดังกล่าวได้ จะส่งผลให้บริษัทฯ กลายเป็นผู้ประกอบการเหล็กรายใหญ่ระดับแนวหน้าของไทยทันที เพราะปัจจุบันกำลังการผลิตเต็มที่ของ MILL อยู่ที่ระดับ 5 แสนตันต่อปี เดินเครื่องผลิตอยู่ที่ประมาณ 60% และคาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตในปีนี้ เพราะความต้องการใช้เหล็กมีมากขึ้น และกำลังการผลิตในส่วนของเหล็กบูรพาฯ อยู่ที่ระดับประมาณ 3 แสนตันต่อปี แต่ใช้จริงเพียง 15% เท่านั้น เมื่อรวมกันจะมีกำลังการผลิตประมาณ 8 แสนตันต่อปี ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่พอสมควร ทำให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างคล่องตัว ทั้งปริมาณการผลิต และความหลากหลายของสินค้า โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาในการติดตั้งเครื่องจักรเหมือนการลงทุนใหม่"
ประโยชน์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ เหล็กบูรพาฯ จะส่งผลดีต่อ MILL ในระยะยาว โดยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดอัตราการสูญเสียในการผลิตลง เนื่องจากการวางแผนแบ่งการผลิตตามประสิทธิภาพและความเหมาะสมของเครื่องจักร เพิ่มอำนาจการต่อรองกับผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบในการสั่งซื้อวัตถุดิบ ซึ่งจะทำให้สามารถลดต้นทุนของวัตถุดิบได้ และช่วยประหยัดค่าขนส่ง (Logistic Cost) ทั้งการขนส่งวัตถุดิบที่สามารถขนส่งรวมกันได้ และการจัดส่งสินค้าเพราะจากการมีโรงงานการผลิตสองโรงจะทำให้แบ่งโซนดูแลลูกค้าได้ โดยโรงงานของเหล็กบูรพาซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าในพื้นที่อุตสาหกรรมภาคตะวันออกได้ทันที ทั้งกลุ่มลูกค้าเดิม และลูกค้าของ มิลล์คอนฯ ด้วย ซึ่งจะสะท้อนให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นตามต้นทุนที่ลดลง
นายสิทธิชัย กล่าวอีกว่า หากโครงการดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น คาดว่าขั้นตอนต่างๆ จะเสร็จสิ้นลงภายในไตรมาสที่ 2/2551 และสามารถโอนรายได้จากเหล็กบูรพาฯ รับรู้เป็นรายได้ของ MILL ได้ตั้งแต่ปลายไตรมาส 2/2551 ซึ่งปัจจุบันเหล็กบูรพาฯ มีรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท จากการใช้กำลังการผลิตเพียงประมาณ 15% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ในขณะที่คาดว่าในปีนี้ MILL จะมีรายได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท ดังนั้นเมื่อรวมรายได้ของทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกัน และหากหล็กบูรพาฯ สามารถใช้กำลังการผลิตได้เพิ่มขึ้นจะผลักดันให้รายได้ MILL เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยจะเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : คุณปภาดา สุวรรณกูฎ (ตุ้ย) TEL : 02-554-9396 / 085-133-0184