กรุงเทพฯ--13 มี.ค.--สวทช.
สวทช. ร่วมกับสำนักงานความร่วมมือทางวิชาการของเยอรมัน (GTZ) เร่งเดินหน้าโครงการ Mapping and Matchingนวัตกรรมในสาขาย่อยของอุตสาหกรรมเกษตรเป้าหมาย ผ่านเครือข่าย iTAP ดึง 3 มหาวิทยาลัยเข้าร่วม ม.ศิลปากร,ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.),ม.สงขลานครินทร์(มอ.) และเครือข่ายพันธมิตรเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมเกษตรของไทย ตั้งเป้า 2 ปี จัดทำ‘ดาต้าเบส’พร้อม‘แผนการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย’แบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาธุรกิจในอนาคต
ความคืบหน้าภายหลังจากการลงนามความร่วมมือทางวิชาการระหว่างศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กับสำนักงานความร่วมมือทางวิชาการของเยอรมัน ประจำประเทศไทย(GTZ) ใน ‘โครงการ Mapping and Matching นวัตกรรมในสาขาย่อยของอุตสาหกรรมเกษตรเป้าหมาย’ ดำเนินการโดยผ่านโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (iTAP) เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเอสเอ็มอีและส่งเสริมให้มีการนำนวัตกรรมไปใช้ในระดับของอุตสาหกรรมของไทยมากขึ้น
ล่าสุด ได้มีการขยายความร่วมมือดังกล่าวไปยังสถาบันการศึกษา 3 แห่ง ใน “โครงการ Mapping and Matching Innovation in Fruit Industry หรือ โครงการการจัดทำแผนที่ และจับคู่ธุรกิจนวัตกรรมในกลุ่มอุตสาหกรรมผักและผลไม้” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการความร่วมมือทางวิชาการระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลเยอรมันดังกล่าว ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยศิลปากรวิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ , มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี(มจธ.) , มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่(มอ.) และเครือข่ายพันธมิตร
รศ.ดร.สมชาย ฉัตรรัตนา ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ความร่วมมือในโครงการดังกล่าว ถือเป็นนวัตกรรมในการทำโครงการร่วมกันระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน เพราะเป็นโครงการที่เอกชนจะมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นตั้งแต่เริ่มต้น โดยจะเชื่อมโยงระหว่างนักวิชาการ นักวิจัย และเอกชนที่เกี่ยวข้องตั้งแต่เกษตรกร ผู้ผลิต โรงงานแปรรูป และผู้ส่งออก รวมถึงเครือข่ายพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อมุ่งหากระบวนการหรือวิธีการทำงานที่เหมาะสมตั้งแต่ต้นน้ำไปสู่ปลายน้ำ
“ GTZ เป็นองค์กรขนาดใหญ่ และเป็นหน่วยงานหนึ่งของรัฐบาลเยอรมันที่มีศักยภาพทางด้านการพัฒนาขีดความสามารถสูง และมีประสบการณ์จากการพัฒนาให้กับประเทศกำลังพัฒนาต่างๆทั่วโลกไม่น้อยกว่า 40 ปี ซึ่งการร่วมมือครั้งนี้จะทำให้ไทยได้รับประสบการณ์ที่สามารถนำมาปรับใช้โดยทาง GTZ จะคอยเป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำและสนับสนุนด้านต่างๆ ที่ไทยยังขาดอยู่ โดยเฉพาะรูปแบบหรือวิธีการทำงานที่มีระบบที่ดีและประสบผลสำเร็จมาแล้วมากมายหลายโครงการ นำมาเป็นโมเดลสำหรับพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ของไทยแบบครบวงจรต่อไป”
โดยมหาวิทยาลัย 3 แห่งที่เข้าร่วมกับ GTZ ในโครงการนี้ ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่เน้นการเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรมผักและผลไม้ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี และสมุทรสาคร ( demand side ) ซึ่งมีจำนวนเกือบ 200 แห่ง กับสถาบันการศึกษาและวิจัย และหน่วยงานบริการอื่นๆในพื้น อาทิ สภาอุตสาหกรรมจังหวัด กรมวิชาการเกษตร และสถาบันอาหาร เป็นต้น ( demand side ) มีลักษณะโครงการเป็นไปตามรูปแบบในการสร้าง “ระบบนวัตกรรมเฉพาะพื้นที่” (Regional innovation system ) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในกลุ่มประเทศยุโรป
ส่วนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ในฐานะเป็นที่ตั้งของเครือข่าย iTAP แห่งที่ 4 ดูแลพื้นที่ในจังหวัดภาคตะวันตก จะเน้นกลุ่มเป้าหมายผลไม้ 2 ชนิด คือ มะม่วง และ มะพร้าวครอบคลุมพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ ราชบุรี , ฉะเชิงเฉรา , เชียงใหม่ (อ.เชียงดาว) , สมุทรสาคร , สมุทรสงคราม และประจวบคีรีขันธ์ โดยจะดำเนินการร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร อาทิ สำนักงานเทคโนโลยี SMEs มจธ. (UTO) , ศูนย์ส่งเสริมงานวิจัยและทรัพย์สินทางปัญญา (RIPPC) , สำนักพัฒนาและฝึกอบรมโรงงานต้นแบบ (PDI) ,ศูนย์วิจัยและบริการชุมชนและสังคม (UCOM) และ ชมรมมะม่วงราชบุรี
ขณะที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (มอ.) ในฐานะเครือข่าย iTAP ที่ดูแลพื้นที่ในจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง จะเน้นการเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน , ยางพารา และกุ้ง
สำหรับรูปแบบการดำเนินโครงการ มีระยะเวลา 2 ปี แบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ ในช่วงแรกจะทำสำรวจความต้องการและแหล่งเทคโนโลยีของภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมที่มีอยู่ พร้อมกับจัดทำฐานข้อมูลเพื่อเป็นแหล่งข้อมูลและความรู้แก่ผู้สนใจที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ ต่อไป(ระยะเวลาประมาณ 6-8 เดือน ) จากนั้นจะเป็นขั้นตอนการจับคู่ (Matching) ระหว่างความต้องการเทคโนโลยีของผู้ผลิต (Demand) กับเทคโนโลยีหรือนวัตกรรม(Supply) ที่มีอยู่ให้เหมาะสมกัน เพื่อจัดทำเป็นแผนการดำเนินงาน ( ระยะเวลาประมาณ 3-4 เดือน ) และช่วงสุดท้าย จะเป็นขั้นตอนการนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเข้าไปปรับใช้ในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมตามความต้องการที่แท้จริง(Mapping) ต่อไป ( ระยะเวลาประมาณ 10-12 เดือน )
รศ.ดร.สมชาย กล่าวว่า “ ประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการนี้ สามารถมองได้ 2 มิติ คือ หนึ่ง ภาคอุตสาหกรรม จะได้รับการพัฒนาและสร้างความเข้งแข็งในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรเป้าหมายให้สามารถแข่งขันได้ในตลาด พร้อมทั้งได้ ‘ ฐานข้อมูลและแผนการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย ’ และสอง มีการเชื่อมโยงหน่วยงานต่างๆ เพื่อร่วมวางแผนในการทำงานร่วมกันที่จะเชื่อมระหว่างงานวิจัยกับตลาดและสามารถให้บริการและช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมได้อย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น ซึ่งแผนที่ได้นี้จะเป็นแนวทางในพัฒนาธุรกิจของอุตสาหกรรมในอนาคต”
นายวรรณภพ กล่อมเกลี้ยง ผู้จัดการเครือข่าย iTAP (มจธ.) กล่าวถึงการเข้าร่วมครั้งนี้ว่า มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความสามารถและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมมะม่วงและมะพร้าวในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคตะวันตก โดยผลสำรวจความต้องการของเกษตรกรเบื้องต้นพบว่า ผู้ปลูกมะม่วงส่วนใหญ่มีความต้องการนำเทคโนโลยีมาใช้แทนแรงงานคน โดยเฉพาะเครื่องคัดขนาดมะม่วง เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และได้ขนาดที่เป็นมาตรฐานมากขึ้น
ทั้งนี้ จากข้อมูลที่สำรวจยังพบว่า มะม่วง และมะพร้าว เป็นพืชเศรษฐกิจของไทยที่มีมูลค่าการส่งออกสูงและมีผู้เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก เฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงใน 3 พื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการ มีจำนวนกว่า 1,000 ราย มีผู้เกี่ยวข้องที่เป็นโรงงานแปรรูป 300 ราย และผู้ส่งออกอีกกว่า 500 ราย มีปริมาณผลผลิตรวมประมาณ 1.-1.9 ล้านตันต่อปี โดยในปี2549 มีปริมาณการส่งออก 23,600 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 690 ล้านบาท ขณะที่ทุกส่วนของผลิตภัณฑ์มะพร้าวสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้มากมายและยังสามารถผลิตเป็นน้ำมันมะพร้าวได้อีก โดยปริมาณผลผลิตมะพร้าวของไทยเมื่อเทียบกับตลาดโลกตั้งแต่ปี 2542 — 2547 พบว่า ประเทศไทยมีผลผลิตมะพร้าวผลเป็นอันดับที่ 6 ของโลก หรือประมาณ 1.38 — 1.45 ล้านตันต่อปี โดยในปี 2547 มีปริมาณการส่งออกกว่า 22.5 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าการส่งออกกว่า 160 ล้านบาท