บล.บัวหลวง บล.เคจีไอ และบล.ทรีนิตี้ พร้อมใจกดปุ่มแนะนำ "ซื้อ" หุ้น SA เคาะราคาเป้าหมายปี 65 ที่ 17.30-18.00 บาท/หุ้น คาดแนวโน้มรายได้รวมทั้งปีแตะ 6.19 พันล้านบาท โตกว่า 183% จากปีก่อน ส่วนกำไรแตะ 713 ล้านบาท ทะยานกว่า 386% จากปีก่อน มองเป็นปีทองของผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่มีสินค้าพร้อมขาย รวมทั้งมีความแตกต่างจากธุรกิจอสังหาฯทั่วไป โดยเฉพาะการขยายฐานรายได้ของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร Wellness &Spa Cloud Kitchen และ AMC จากเครือข่ายอสังหาฯที่มีอยู่ทำให้มีต้นทุนต่ำ Break-even เร็ว และมี Recuring income หนุนธุรกิจเติบโตแข็งแกร่ง
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เผยแพร่บทวิเคราะห์ แนะนำ "ซื้อ" หุ้น บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ราคาเป้าหมาย 18.00 บาท โดยประเมินจากปัจจัยบวกที่สำคัญได้แก่ธุรกิจอสังหาฯ ฟื้นตัวแกร่งในปีนี้ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายยอดโอนปี 2565 ที่ 4.5 พันล้านบาท พร้อมลุยแนวราบดันรายได้เพิ่มที่รามอินทรา (เฟส 2), ราชพฤกษ์-345, ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า (แบรนด์ใหม่ "Monsane", และรังสิต ซึ่งเป็นจุดที่ทำเลดี และ Product ราคาจับต้องได้ โดยรวมฝ่ายวิเคราะห์ คงประมาณการกำไรปี 2565 ที่ 713 ล้านบาท เติบโต 386% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมกับอยู่ระหว่างทำ "Green finance" รายแรกและมี World Bank มาให้คำปรึกษา เพื่อเสนอขอเงินกู้จากสถาบันการเงินในดอกเบี้ยที่ถูกลง และระยะเวลายาวขึ้น
ส่วนธุรกิจBranded residence และ Cloud kitchen สร้างฐานรายได้ประจำและมูลค่าเพิ่มให้สินทรัพย์ โดย ธุรกิจBranded residence ตั้งเป้าหมายขยายเป็น 1.79 พันห้องในปี 2569 หรือคิดเป็นเติบโตเฉลี่ย 36% CAGR ปี 2565-2569 และสร้างฐานกำไรราว 200 ล้านบาทในปี 2569 ส่วนธุรกิจครัวกลาง (Cloud kitchen) เฟสที่ 1 จะหาทำเลให้ได้ราว 80 สาขา ในปี 2565 ระยะยาวเพิ่มเป็น 494 สาขาในปี 2569
สำหรับธุรกิจ AMC พร้อมลุย และเตรียมแตกไลน์ Leasing ด้วยโดยอยู่ระหว่างการขออนุญาต ธปท. คาดเสร็จช่วงไตรมาส 2/2565 และซื้อสินทรัพย์ NPA แรกได้ทันที และบริษัทเปิดแผนการลงทุนในศูนย์ดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุ ทำเลใกล้กับ รพ.ศิริราช ซึ่งโครงการนี้เป็น Concept ไอเดียใหม่ ยังไม่เคยมีมาก่อน โดยจะเป็น เป็นศูนย์บริการทางการแพทย์ ไม่ได้เป็น รพ. ทั่วไปเต็มรูปแบบ จึงคุ้มทุนได้เร็ว เพราะไม่ได้ลงทุนเครื่องมือราคาสูงจำนวนมากเหมือนการสร้าง รพ. ใหม่ (ที่ต้องแบกรับขาดทุนไปอย่างน้อย 3-5 ปี)
"แผนธุรกิจตอกย้ำมุมมองที่เรามีต่อบริษัทถึงการเป็นหุ้น Asset plays ที่ทำให้ SA เติบโตอย่างรวดเร็วภายใน 13 ปีที่ผ่านมาจนเข้าสู่วัยรุ่นในปัจจุบัน ซึ่งเป็นอีกช่วงเวลาสำคัญในการสร้างธุรกิจใหม่ๆ ที่จะช่วยให้เติบโตแบบติดปีก แถมยังช่วยสร้างรายได้สม่ำเสมอในระยะยาว และยัง spin-off ธุรกิจได้อีกด้วย ดังนั้น จึงเชื่อว่าตลาดจะพร้อมให้มูลค่าหุ้นที่ Premium มากกว่าอสังหาฯ ทั่วไป เราคงคำแนะนำซื้อ และราคาเป้าหมาย 18 บาท"
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ "ซื้อ" หุ้น SA ราคาเป้าหมาย 17.30 บาท โดยระบุว่า 1-2 ปีนี้จะเป็นปีทองของผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่มีของพร้อมขาย โดยปัจจุบัน SA มีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างมูลค่าราว 2.40 หมื่นล้านบาท Backlog จากการขาย Presales รอรับรู้มูลค่ารวม 4.20 พันล้านบาท และโครงการสร้างเสร็จที่อยู่ระหว่างรอการขายอีกราว 5 พันล้านบาท ขณะที่มีการเตรียมแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ 6 โครงการ มูลค่ารวม 1.16 หมื่นล้านบาท โดยจะเป็นโครงการบ้านเดี่ยวราว 7.50 พันล้านบาท ประกอบกับมีโมเดลพัฒนาโครงการแล้วเก็บพื้นที่ไว้ทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องทั้ง โรงแรม ร้านอาหาร Wellness &Spa และ Cloud Kitchen สร้างความแตกต่าง และมี Upside จากธุรกิจ AMC ที่อาจต่อยอดได้อีก
"SA วางแผนธุรกิจระยะยาวโดยใช้เครือข่ายอสังหาฯที่มีอยู่ของ SA ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จุดเด่นของแนวคิดนี้ คือ "การแชร์ต้นทุน" การใช้สินทรัพย์ร่วมกันทำให้ต้นทุนของแต่ละธุรกิจ อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าคู่แข่ง สามารถ Break-even ได้ตั้งแต่ปีแรก และธุรกิจจะมีมูลค่าเพิ่มตามราคาอสังหาฯ"
ทั้งนี้ ประเมินราคาเป้าหมายโดยใช้ PEG ที่ 1 เท่า อิงอัตราการเติบโตของกำไร 132% CAGR 2564 - 66 ได้ราคาเป้าหมาย 17.3 บาท โดยคิดเป็น Forward PE ปี 2565 ราว 34 เท่า และจะลดลงเป็น 24.5 เท่าในปี 2566 และประเมินว่า Valuation ของ SA พรีเมี่ยมกว่ากลุ่มอสังหาฯ เพราะโมเดลธุรกิจที่พัฒนาโครงการอสังหาฯ แล้วเก็บพื้นที่ไว้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ทำให้มี Recuring income ที่มาจากธุรกิจที่เติบโตตามเทรนค์ และอยู่ในช่วงแรกๆ ของ Growth stage โดยประเมินสัดส่วนรายได้ของ Recurring income จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 10% ของรายได้รวมในปี 2566
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุว่า ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" หุ้นSAโดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 17.50 บาท จากEPS 2565F ที่ 0.79 บาท/หุ้น โดยอิงค่า P/E ที่ 22X เป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลังของ MINT ช่วงปี2561-2562 (Pre-COVID) ซึ่งมีการประกอบธุรกิจที่ใกล้เคียงดับ SA ซึ่งการเติบโตในระยะยาวมีความน่าสนใจจากการเพิ่มฐานรายได้ไปยังกลุ่มที่มีการเติบโตสูงและระดับ P/E ที่สูงกว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อาทิ Cloud Kitchen โรงแรม โรงพยาบาลและ AMC
ทั้งนี้ คาดว่าไตรมาส 1/2665 จะมีผลประกอบการที่ฟื้นตัวได้ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จากการผ่อนปรนมาตรการ LTV และการปลด Lockdown ที่จะช่วยให้ยอด Visit โครงการสูงขึ้น และมาตรการ Test&Go ที่ส่งผลให้มีชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อยอดขายโครงการที่เป็นคอนโดและรายได้จากกลุ่มโรงแรม
พร้อมคาดปี 2565 สามารถเติบโตทั้งรายได้และกำไร โดยการเติบโตจะมาจากโอนโครงการอสังหาริมทรัพย์ และร้านอาหารที่คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากฐานที่ต่ำและการเติบโตของรายได้จาก Cloud Kitchen ที่เพิ่มสาขาจาก 5 สาขาเป็น 30 สาขา เรายังคงคาดการณ์รายได้รวมปี 2565 ที่ 6.19 พันล้านบาท เติบโต 183% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2565 จะมีการตอบรับที่ดีโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบระดับบนอีกด้วย