Bitkub Capital Group ได้เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์ในการดำเนินงานนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2022 โดยอิงหลักแนวคิด Social Capital เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมีจุดมุ่งหมายสูงสุดในการสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีบล็อกเชนและเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศชาติ
Social Capital หรือ ทุนทางสังคม หมายถึง ความสัมพันธ์ทางสังคมหรือโครงสร้างทางสังคมที่สามารถทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน เกิดกิจกรรมร่วมมือกัน ทำให้เกิดการเรียนรู้ รับรู้ และส่งผ่านข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน ทำให้เกิดคุณค่าบางอย่างที่สามารถยึดโยงและยอมรับร่วมกัน ซึ่งเกี่ยวกับการสร้างค่านิยมที่ดี (Good Will) การสร้างมิตรภาพ (Fellowship) ความเห็นอกเห็นใจ (Sympathy) และการติดต่อสัมพันธ์กันทางสังคม (Social Relationships) ซึ่งจะเกิดเป็นพลังในชุมชนและทุนทางสังคม
ตามกรอบแนวคิดนี้มีองค์ประกอบหลักที่สำคัญ ได้แก่ ทรัพยากร คือ เครื่องมือต่างๆที่เราใช้ เช่น โทรศัพท์ ซอร์ฟแวร์ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือสิ่งที่ทำให้บรรลุวัตถุประสงค์, ขนาดของเครือข่ายทางสังคม คือ การเป็นสมาชิกของเครือข่ายหรือในสังคม, ความเข้มข้นของเครือข่ายทางสังคม, การมีส่วนร่วม, พลังประชาชน และ ความหลากหลาย จากแนวคิดนี้จึงได้นำมาต่อยอดเป็นการระบบนิเวศ (Ecosystem) ร่วมของธุรกิจในบริษัทในเครือที่มุ่งเน้นในการพัฒนาธุรกิจเพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้สังคมด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล เนื่องจากในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และกำลังจะเข้าสู่ยุค Web 3.0 ที่เป็นยุคที่ประสบการณ์การใช้อินเตอร์เน็ตของผู้คนบนโลกจะเปลี่ยนไปครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง การมาของเทคโนโลยีที่เรียกว่า บล็อกเชน, เอ็นเอฟที, ประสบการณ์ 3 มิติ ในปัจจุบันได้ กลายมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานของ Web 3.0 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ใช้งานเชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ตมากขึ้น และ Web 3.0 จะทำให้ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของอินเทอร์เน็ต เป็นเจ้าของระบบ เศรษฐกิจดิจิทัล ร่วมกันได้ ผ่านการถือ protocol token ยกตัวอย่าง เหรียญ ETH (อีเธอร์) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัล ที่สามารถสร้าง ความ เปลี่ยนแปลงต่อโลกได้อย่างมหันต์ อาทิ การขอกู้เงินได้โดยที่ไม่ต้องมีตัวกลาง หรือที่เราเรียกว่า DeFi (Decentralized Finance) เกิดการระดมทุนโดยที่ไม่ต้องมีตัวกลาง ที่เรียกว่า ICO (Initial Coin Offering) ผ่านการใช้ Smart Contract
ซึ่งธุรกิจของกลุ่มบริษัทบิทคับนั้น อาจมีจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนทั่วไปรู้จักจากการเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือตลาดซื้อขายคริปโทฯ แต่ตั้งแต่การก่อตั้งบริษัทในปี 2018 นั้นเราได้เริ่มต้นจากตั้ง "โฮลดิงส์" ที่เป็นการลงทุนในบริษัทลูกขึ้นมาตั้งแต่แรกเริ่ม โดยมีบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ดำเนินงานศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง และ บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่วางแผนไว้สำหรับให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชนแบบครบวงจร ต่อมาเมื่อธุรกิจขยายขนาดใหญ่ขึ้น และมีการรับรู้เข้าสู่วงกว้าง แน่นนอนว่าในเมื่อเป็นสิ่งใหม่ย่อมทำให้เกิดความสงสัย ไม่เข้าใจ และอาจไม่ปลอดภัยหากผู้คนเข้ามาในโลกสินทรัพย์ดิจิทัลโดยที่ไม่มีความรู้หรือพื้นฐานที่มากเพียงพอ
เราจึงตั้งบริษัทที่สามขึ้นมา คือ บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด เพื่อดำเนินงาน "บิทคับ อะคาเดมี" ซึ่งมุ่งเน้นให้เป็นแพล็ตฟอร์มการเรียนรู้ที่เปิดกว้างสำหรับทุกคนที่สนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยจัดทำคอร์สสอนฟรีทั้งผ่านระบบออนไลน์และเรียนตัวต่อตัวแบบออฟไลน์ รวมถึงสร้างสรรค์คอร์สระดับสูงกับผู้เชี่ยวชาญโดยการเข้าไปอุดหนุนราคาค่าเรียนให้ถูกลง เช่น ปกติการเรียนบางคอร์สแบบตัวต่อตัวหรือกลุ่มย่อยอาจมีราคาหลักหมื่นบาทต่อคน แต่ "บิทคับ อะคาเดมี" จะทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่สอนคอร์สเหล่านั้นและทำให้ราคาคอร์สลดลงมาเหลือหลักร้อยหรือพันบาท หรือผู้ที่ลงทะเบียนเรียนผ่าน "บิทคับ อะคาเดมี" จะได้รับสิทธิประโยชน์จากแพลตฟอร์มต่างๆของบริการในเครือบิทคับเพิ่มเติม นอกจากนั้นแล้วเรายังขยายความร่วมมือไปยังโรงเรียนมัธยม และมหาวิทยาลัยกว่า 40 แห่งทั่วประเทศเพื่อนำองค์ความรู้ของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่สัมพันธ์กับโอกาสการทำงานและประกอบอาชีพในอนาคตให้นักศึกษาได้เรียนรู้และเข้าใจเพื่อเป็นแนวทางก่อนเข้าสู่โลกของการทำงาน ในปี 2020 - 2021 เป็นปีที่ธุรกิจในกลุ่มบิทคับเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทลูกในเครือมีผลประกอบการได้กำไรขึ้นมา และเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จมาอีกขั้นหนึ่ง ดังนั้น เราจึงมีการจัดตั้งบริษัทที่สี่ขึ้นมา คือ บริษัท บิทคับ เวนเจอร์ส จำกัด ที่มุ่งลงทุนในสตาร์ทอัพไทยที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชนและระบบนิเวศที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างสตาร์ทอัพไทยที่จะเป็นยูนิคอร์นตัวต่อไป
โดยเราจะสนับสนุนทั้งเงินทุน เป็น Incubator และ Accelerator รวมถึงช่วยในเรื่องของการตลาดและประชาสัมพันธ์เพื่อให้สตาร์ทอัพที่ได้รับการลงทุนจากเราได้ประสบความสำเร็จเป็นยูนิคอร์ตัวต่อไป ซึ่งจะมีประโยชน์ในการสร้างงาน สร้างรายได้ทางใหม่ในกับประเทศชาติ อย่างที่กลุ่มบิทคับได้จ้างงานมากกว่าพันตำแหน่งในช่วงวิกฤตโควิดที่ผ่านมา ซึ่งในปี 2022 นี้เราได้สำรองเงินทุนเพื่อที่จะลงทุนในสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ที่มีโอกาสพัฒนาได้ โดยมีเป้าหมายในการลงทุน 10 สตาร์ทอัพ เป็นอย่างน้อย และจากการเจริญเติบโตตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เราตระหนักได้ว่าการเติบโตเพียงบริษัทเดียวอาจไม่ยั่งยืน จึงเกิดการจับมือร่วมสร้างพันธมิตรในหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อให้เกิดการนำผลิตภัณฑ์ที่จะเกิดขึ้นและอยู่บนระบบบล็อกเชนได้รับการนำไปประยุกต์ใช้ในวงกว้าง (Mass Adoption) ซึ่งพันธมิตรที่อยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมที่เข้ามาร่วมกับบิทคับนั้นล้วนแต่เป็นบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ มีประวัติการดำเนินงานที่ยาวนาน และหลายบริษัทนั้นเป็นบริษัทมหาชนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หลายโครงการได้มีการศึกษาถึงความเป็นไปได้และประโยชน์ร่วมกันจากทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความรู้ในการบริหารมาเป็นอย่างดี
นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวโดยสรุปว่า "จากความพยามและการขยายความร่วมมือทั้งหมดที่กล่าวมานั้น บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป มุ่งหวังที่จะเป็นสะพานให้คนไทยทุกคนมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยี มีโอกาสในการฝึกทักษะให้ทันโลก ให้โอกาสในการเติบโตของสตาร์ทอัพไทย สร้างโอกาส สร้างอาชีพใหม่ที่ตอบโจทย์เทรนด์ของโลกในอนาคต เพราะในอีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล การที่เมืองไทยจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้คือการพัฒนาทุนทางทรัพยากรมนุษย์ (Human Capital) ให้คนไทยเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีไม่ใช่เป็นเพียงแค่ผู้ใช้เทคโนโลยี ต้องเป็นแรงงานที่มีรายได้สูงโดยเป็น Digital Skill Worker ให้มี GNP (Gross National Profit) สูง เพื่อจะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย และนำประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง และนำธุรกิจคนไทยก้าวสู่การเป็นบริษัทระดับโลกอย่างเต็มภาคภูมิ บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป และทุกบริษัทในเครือถือว่านี่เป็นการวางแผนในอนาคตไม่ใช่เพื่อสำหรับบริษัทเท่านั้น แต่เราไม่อยากเห็นประเทศชาติตกเป็นเมืองขึ้นทางเทคโนโลยี คนไทยต้องมีความสามารถและมีโอกาสได้ใช้ความสามารถและพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น อีกโครงการหนึ่งที่เราได้จัดตั้งและดำเนินงานขึ้นมาได้แก่โครงการ 'บิทคับ ไอคอน' (Bitkub ICON) ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงเป็นตัวแทนสื่อสารพันธกิจของบริษัทเท่านั้น แต่ 'บิทคับ ไอคอน' ยังจะเป็นตัวกลางช่วยเตรียมความพร้อมให้คนรุ่นใหม่เข้าใจเรื่องเทคโนโลยี และเศรษฐกิจดิจิทัล ตลอดจนสามารถมีความรู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อภัยอาชกรรมทางไซเบอร์ เพื่อผลักดันให้ประเทศก้าวหน้าเท่าเทียมประเทศอื่นในอนาคต ซึ่งอีก 5 ปี 10 ปี ทักษะเหล่านี้จำเป็นมาก ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อม 'ทุนทางทรัพยากรมนุษย์' (Human Capital) โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้พร้อมรับมือกับกระแสการเปลี่ยนแปลงและไม่พลาดโอกาสที่จะเป็นผู้นำในโลกอนาคต"