Digital Transformation ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่เรื่องที่องค์กรจะมองข้ามได้อีกต่อไป เห็นได้จากการที่องค์กรทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยต่างเดินหน้าลงทุนในด้านเทคโนโลยี กันมากขึ้นหลังจากการระบาดของ COVID-19 ที่กินเวลาต่อเนื่องมาแล้วถึงสองปี องค์กรส่วนใหญ่ได้ปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความคล่องตัวให้กับการดำเนินธุรกิจรองรับการยืดหดของตลาดให้ได้แบบทันท่วงที (Business Agility) โดยสังเกตได้ว่ามีการจัดตั้งหน่วยงานดูแลด้านดิจิทัลอย่างจริงจังเพื่อทำให้ธุรกิจพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ด้วยแนวคิดแบบ Digital-First
มร. ชาง ฟู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "การใช้งานคลาวด์ในไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลาง Disruption ที่เกิดขึ้นมากมายในทุกอุตสาหกรรม เทคโนโลยีคลาวด์และเอไอถูกนำมาใช้เพื่อขยายขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ แต่ประเด็นที่น่าสนใจ คือ แม้ว่าจะมีการใช้คลาวด์อย่างแพร่หลายรวมถึงทิศทางของการใช้งานระบบคลาวด์ในบริษัทไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า แต่จากรายงานของ PwC พบว่า องค์กรต่างๆ ยังไม่สามารถใช้งานคลาวด์ได้อย่างเต็มศักยภาพเท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งแท้จริงแล้วองค์กรสามารถดึงศักยภาพอันมหาศาลของคลาวด์มาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ด้วยการปรับใช้คลาวด์เพื่อสร้างความคล่องตัวให้กับการดำเนินธุรกิจ (Business Agility) เพื่อให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็วได้ทันท่วงที ทั้งในแง่ของการสร้างการเติบโต หรือการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด"
ไฮบริด คลาวด์ (Hybrid Cloud) คือ หนึ่งในตัวเลือกทางกลยุทธ์แรกๆที่หลายองค์กรใช้เพื่อปรับโครงสร้างเข้าสู่ยุค Digital Transformation จากการนำโซลูชันคลาวด์และเอไอมาใช้ในองค์กร เพื่อรองรับการเติบโตของการกิจกรรมทางธุรกิจดิจิทัลมากมายที่ต้องอาศัยการส่งต่อ จัดเก็บ คิดคำนวณ และถ่ายโอนข้อมูลแบบออนไลน์มากขึ้น เพิ่มความรวดเร็วเมื่อต้องรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ไม่ว่าจะใช้งานโซลูชันคลาวด์ในแบบใด ควรเลือก Public Cloud ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ เป็นไปตามข้อกำหนดทางกฏหมาย โดยเฉพาะความปลอดภัยในเรื่องของการจัดเก็บข้อมูล เช่น ข้อมูลส่วนบุคคลที่องค์กรต้องนำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ เป็นต้น ซึ่งในเดือนมิถุนายน 2565 นี้ ประเทศไทยจะเริ่มบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ซึ่งมีหลักสำคัญ คือ ต้องการให้เกิดการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลอย่างถูกต้องและถูกวิธี โดยมีข้อกำหนดว่าข้อมูลส่วนบุคคล (Personal data) จะต้องถูกเก็บไว้ในประเทศไทย
ด้วยเหตุนี้ การเลือกใช้ Public Cloud จากเทนเซ็นต์ คลาวด์ ที่มีเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่แข็งแกร่ง และดาต้า
เซ็นเตอร์ตั้งอยู่ในประเทศไทยถึงสองแห่ง พร้อมที่จะเป็นพันธมิตรในด้านเทคโนโลยีให้ทุกองค์กรที่จะนำคลาวด์ไปเสริมศักยภาพ
ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย และเป็นไปตามกฏหมาย ซึ่งดาต้าเซ็นเตอร์แห่งล่าสุดของเทนเซ็นต์ คลาวด์ที่ตั้งขึ้นในประเทศไทย ถือเป็นศูนย์ข้อมูลระดับ Tier 3 ตั้งอยู่ในทำเลศูนย์กลางเครือข่ายที่สำคัญใจกลางกรุงเทพฯ จุดเด่นของศูนย์ข้อมูลแห่งนี้ คือ ประสิทธิภาพในการประมวลผลข้อมูลที่เพิ่มสูงขึ้น มีความยืดหยุ่น ที่มาจากการติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ผสานกับการทำงานของ Graphics Processing Unit (GPU) ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการประมวลผลต่างๆ และสร้างความยืดหยุ่นในการใช้งาน
ยกตัวอย่างการใช้ Hybrid Cloud ของธุรกิจกลุ่มค้าปลีกจากการเลือกใช้ Public Cloud ของผู้ให้บริการที่มีดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการรับมือกับสถานการณ์เปลี่ยนแปลง รวมไปถึงรองรับแคมเปญทางการตลาดที่ทำอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา ขับเคลื่อนให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่สะดุด ปัจจุบันแทบไม่มีธุรกิจค้าปลีกเจ้าใดที่ไม่มีการทำตลาด eCommerce หรือการทำ Digital Marketing ทุกเจ้าต่างออกแคมเปญการตลาดเพื่อส่งเสริมการขายมากมายต่อเนื่อง และมีการปรับกลยุทธ์อยู่ตลอดเวลา เช่น การเปิดจองสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ การเปิด Pre-sale การรับคูปอง การเปิดเป็น Market place ให้เจ้าของแบรนด์ทำไลฟ์ขายของพร้อมๆ กัน หรือการลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษต่างๆ ฯลฯ แน่นอนว่ากิจกรรมเหล่านี้ต้องมีการใช้คลาวด์และเอไอในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าเพื่อใช้ในการดำเนินงานส่วนต่างๆ ซึ่งต้องมีระบบการจัดเก็บและส่งต่อข้อมูลที่ปลอดภัย ดังนั้น การเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินงานจากการใช้ Public Cloud ที่มีดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศ จึงเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยให้การดำเนินงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเก็บหรือเรียกใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นไปตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA ของไทย
"เทนเซ็นต์ คลาวด์ ในฐานะ 'Digital Enabler' ที่ทำหน้าที่สนับสนุนให้องค์กรประสบความสำเร็จในการสร้างความคล่องตัว
พร้อมสนับสนุนทุกองค์กรเตรียมพร้อมปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงทั้งเชิงบวกและเชิงลบได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการผสานความเชี่ยวชาญ และความเข้าใจเชิงลึกในด้านการให้บริการแพลตฟอร์มขนาดใหญ่จากบริษัทแม่ ความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างพื้นฐานจากพื้นที่ให้บริการที่ครอบคลุม 69 พื้นที่ใน 26 ภูมิภาคทั่วโลก และการมีดาต้าเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยถึง 2 แห่ง ที่ช่วยให้การถ่ายโอนข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว เสถียร และปลอดภัย นำเสนอโซลูชันระบบคลาวด์ที่มีความยืดหยุ่น ครอบคลุมความต้องการอันหลากหลายของแต่ละธุรกิจ ตอบโจทย์การเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวให้กับองค์กร ด้วยเครือข่ายที่ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง รวมถึงการมีทีมงานคนไทยที่มีเชี่ยวชาญให้การสนับสนุนและคำแนะนำต่างๆ ผลักดันให้ธุรกิจสามารถก้าวข้ามความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้และรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างรวดเร็ว ทันท่วงที นำไปสู่การยกระดับองค์กรให้เป็นดิจิทัล เอ็นเตอร์ไพรส์ เต็มรูปแบบ" มร. ชาง กล่าวสรุป