MR เป็นเทคนิคการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ใช้ตรวจคัดกรองวินิจฉัยโรค มีความถูกต้อง แม่นยำสูง สามารถตรวจได้ทุกระบบของร่างกายอย่างละเอียด ที่สำคัญไม่มีอันตรายจากรังสี นิยมใช้เป็นเครื่องมือลำดับแรกๆในการตรวจหาความผิดปกติของสมอง เพราะสามารถสร้างภาพได้หลายระนาบ และตรวจพบความผิดปกติได้ชัดเจน ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยหาสาเหตุได้รวดเร็วแม่นยำ
พญ.อนงนุช ชวลิตธำรง แพทย์ American Board of Anti-Aging Medicine จาก Addlife Anti-Aging Centerชั้น 2ไลฟ์เซ็นเตอร์ (คิวเฮ้าส์ ลุมพินี) ได้เผยข้อมูลด้านสุขภาพจากต่างประเทศและในประเทศไทยพบว่า ปัจจุบันมีผู้รักสุขภาพใช้เครื่อง MR ในการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อช่วยในการเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้น โดยที่ยังไม่ต้องรอให้แสดงอาการเจ็บป่วย เนื่องจากการตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการ ช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาได้มากขึ้น
ในการวินิจฉัยโรคทางสมอง เช่น โรคสมองขาดเลือดเฉียบพลัน (Stroke) โรคเนื้องอกในสมอง แพทย์อาจพิจารณาตรวจ MRI (Magnetic Resonance Imaging) และ MRA (Magnetic Resonance Angiography) ควบคู่กันไป โดย MRI สามารถตรวจดูความผิดปกติที่เนื้อเยื่อสมอง และก้อนเนื้อต่างๆได้ ส่วน MRA ใช้ตรวจดูความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง
นอกจากการตรวจสุขภาพประจำปีแล้ว ผู้ที่เข้าเกณฑ์เหล่านี้ข้อใดข้อหนึ่ง ควรได้รับการวินิจฉัยด้วยการตรวจ MR เพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจน ได้แก่
- ปวดศีรษะรุนแรงมากที่สุดในชีวิต
- ปวดฉับพลันทันที ปวดศีรษะมากจนต้องตื่นกลางดึก
- ปวดศีรษะข้างเดิมตลอด
- ปวดศีรษะจนต้องใช้ยาแก้ปวด ปริมาณมากหรือบ่อย
- ปวดศีรษะมากขึ้นเมื่อไอ จาม เบ่งออกแรง เปลี่ยนท่าทาง
- ปวดศีรษะร่วมกับอาการผิดปกติอย่างอื่น เช่น ไข้ เห็นภาพซ้อน หลงลืม พูดลิ้นแข็ง ปากเบี้ยว ชาอ่อนแรง เดินเซ ชัก สับสน เป็นต้น
- ผู้ป่วยอายุมากกว่า 50 ปี ที่มีอาการปวดศีรษะครั้งแรก หรือเปลี่ยนไปจากเดิม
- ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น การติดเชื้อเรื้อรัง โรคมะเร็ง โรคภูมิแพ้ตัวเอง (SLE)
ความผิดปกติที่เกิดขึ้น ยิ่งตรวจพบเร็ว จะช่วยป้องกันและรักษาได้ดีกว่า ดังนั้น อย่ารอช้าที่จะมาตรวจคัดกรองก่อนนะคะ