SGP ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2565 บุ๊คกำไร 989 ล้านบาท พร้อมกับรายได้ 26,907 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% จากงวดเดียวกันของปีก่อน รับผลบวกดีมานด์ใช้ LPG ทั้งในประเทศและต่างประเทศขยายตัว เดินหน้ารุกตลาดค้าปลีก เวียดนาม-สิงคโปร์-มาเลเซีย-จีน และเปิดตลาดค้าส่งเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียใต้อย่างอินเดียเป็นต้น ภายหลังจากไปบุกตลาดบังคลาเทศและเห็นความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มขึ้นทุกปี ประเมินราคาสัญญาซื้อขาย LPG ล่วงหน้าตลาดโลกทรงตัวระดับสูงได้ต่อ
นางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP เปิดเผยว่า ผลประกอบการในงวดไตรมาส 1 ปี 2565 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่ 989 ล้านบาท ลดลง 333 ล้านบาท หรือลดลง 25% เทียบกับงวดปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่จำนวน 1,322 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม 26,907 ล้านบาท
ภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 1/2565 มีการเติบโตที่ดีกว่าเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันกับความต้องการใช้งานพลังงานในระดับสูงจากการเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวในต่างประเทศ รวมถึงปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาพลังงานทรงตัวในระดับสูงอีกด้วย นอกจากนี้ แม้ว่าตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลายประเทศเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่เนื่องจากเกิดปัญหาทางสงครามระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้กำลังการผลิตและส่งออกก๊าซในบางภูมิภาคเกิดการตึงตัว เป็นปัจจัยหนุนให้บริษัทยังสามารถจำหน่ายก๊าซทั้งในตลาดเดิมและมีโอกาสได้ขยายตลาดใหม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแผนงานในปี 2565 บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์การจำหน่ายใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยได้มีการแตกไลน์รุกขยายเข้าสู่ตลาดที่เป็นค้าปลีก (Retail) ในประเทศที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง รวมถึงควบคู่ไปกับการเปิดตลาดค้าส่ง (Wholesale) ในภูมิภาคเอเชียใต้ ตลอดจนเล็งที่จะเข้าไปขยายตลาดสู่มณฑลและเมืองต่างๆ ของประเทศจีนมากขึ้น เพราะเห็นความต้องการใช้งานเติบโตสูงในทุกๆ ปี อย่างไรก็ดี บริษัทวางเป้าหมายปริมาณการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ทั้งปี 2565 ไว้ที่มากกว่า 3.65 ล้านตัน จากสิ้นปี 2564 ที่ทำได้ 3.29 ล้านตัน สะท้อนต่อการเติบโตของรายได้รวมทั้งปีนี้ที่อาจเพิ่มขึ้นเฉลี่ยกว่า 10-12% จากปีก่อนที่ 79,510.73 ล้านบาท
"แม้ว่าจะยังต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ต่างๆ แต่ประชากรในหลายประเทศเริ่มปรับตัว จึงส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ กลับมาเดินเครื่องผลิต จึงมีความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันราคาน้ำมันในประเทศที่ปรับสูงขึ้น ก็ส่งผลให้มีความต้องการใช้แก๊สในภาคธุรกิจขนส่งทั้งผู้ประกอบการรถ Taxi รวมไปถึงรถขนส่ง เริ่มกลับมาเติมก๊าซมากขึ้น" นางจินตณา กล่าว