บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ รุกคืบอีกขั้นสู่การขยายกำลังผลิตก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา เพื่อตอบรับอุตสาหกรรมพลังงานในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว โดย BKV Corporation (BKV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บ้านปูถือหุ้นร้อยละ 96.12 ได้ลงนามในสัญญาซื้อขาย เพื่อเข้าซื้อสัดส่วนผลประโยชน์ในแหล่งก๊าซธรรมชาติ และครอบคลุมถึงธุรกิจ กลางน้ำบริเวณแหล่งก๊าซธรรมชาติบาร์เนตต์ จากบริษัท XTO Energy, Inc. and Barnett Gathering LLC (XTO) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Exxon Mobil Corporation โดยมีมูลค่าการลงทุน 750 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 25,125 ล้านบาท) และมีมูลค่าผลประโยชน์แก่ผู้ขายในอนาคตโดยรวมไม่เกิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นอยู่กับราคาก๊าซธรรมชาติในอนาคต โดยคาดว่าการซื้อขายจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายน 2565 ขณะนี้อยู่ในระหว่างการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องในสัญญา
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "การเข้าซื้อสัดส่วนผลประโยชน์ในแหล่งก๊าซธรรมชาติครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการเดินหน้าตามกลยุทธ์ Greener & Smarter โดยปัจจุบันถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ธุรกิจก๊าซของบ้านปูจะสร้างการเติบโตผ่านการสร้างพลังร่วมที่ขยายวงกว้าง ประกอบกับการยกระดับศักยภาพทางเทคโนโลยี เพื่อสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน BKV เป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติชั้นนำในสหรัฐฯ ที่เน้นการบูรณาการห่วงโซ่คุณค่าในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ซึ่งช่วยให้บริษัทฯ สามารถพัฒนาประสิทธิภาพของแหล่งก๊าซ โดยได้การรับรองว่าเป็นแหล่งก๊าซที่ดำเนินการอย่างมีความรับผิดชอบตั้งแต่ต้นทางของระบบการผลิต ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบ้านปูในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ โดยเรามุ่งมั่นสร้างการเติบโตจากจุดแข็งของ XTO Energy และทีมงาน เพื่อขับเคลื่อนอนาคตและการเติบโตอย่างยั่งยืน"
สินทรัพย์ที่บ้านปูเข้าซื้อในครั้งนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ครอบคลุมพื้นที่การผลิตก๊าซประมาณ 160,000 เอเคอร์ บริเวณใจกลางแหล่งก๊าซบาร์เนตต์ โดยมีผลประโยชน์ในหลุมผลิตคิดเป็นร้อยละ 93 ของจำนวนหลุมผลิตทั้งหมดมากกว่า 2,100 หลุม ที่มีกำลังผลิตประมาณ 225 ล้านลูกบาศก์ฟุตเทียบเท่าต่อวัน (MMcfepd) รวมทั้งยังมีระบบรวบรวมและอัดก๊าซธรรมชาติแบบครบวงจร ประกอบด้วยท่อขนส่งก๊าซธรรมชาติครอบคลุมระยะทางประมาณ 750 ไมล์ และสถานีอัดก๊าซธรรมชาติมากกว่า 20 จุด ทำให้สามารถเข้าถึงตลาดที่มีความต้องการก๊าซธรรมชาติที่สำคัญได้ ในขณะเดียวกันยังมีโครงสร้างพื้นฐานธุรกิจกลางน้ำรองรับ ตลอดจนมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายทั้งก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติเหลว (NGL) และคอนเดนเสทอีกด้วย
บ้านปูนับเป็นบริษัทไทยรายแรกที่เข้าไปลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2558 โดยปัจจุบันได้ดำเนินธุรกิจในแหล่งก๊าซธรรมชาติ 2 แหล่ง คือแหล่งก๊าซมาร์เซลลัส (Marcellus) ในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และแหล่งก๊าซบาร์เนตต์ ในรัฐเท็กซัส ทั้งนี้ หากการเข้าซื้อสินทรัพย์จาก XTO เสร็จสิ้นแล้ว คาดว่าจะส่งผลให้กำลังผลิตรวมของธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ของ บ้านปูเพิ่มขึ้นจากประมาณ 700 ล้านลูกบาศก์ฟุตเทียบเท่าต่อวัน เป็น 900 ล้านลูกบาศก์ฟุตเทียบเท่าต่อวัน และมีปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรอง (1P) เพิ่มขึ้นจากประมาณ 4.4 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตเทียบเท่า เป็นประมาณ 5.8 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตเทียบเท่า จากการผนึกพลังร่วมกับแหล่งก๊าซที่เรามีอยู่แล้ว การลงทุนในแหล่งก๊าซใหม่นี้จะช่วยทำให้เราสามารถสร้างโอกาสในอนาคตอีกด้วย นอกจากนั้น ในปี 2564 ที่ผ่านมาบ้านปูยังได้ลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ "Temple I" ในสหรัฐฯ ขนาดกำลังผลิต 768 เมกะวัตต์ โดยเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยี Combined Cycle Gas Turbines (CCGT) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (High Efficiency, Low Emissions: HELE)
"บ้านปูยังคงบริหารจัดการแหล่งก๊าซในสหรัฐฯ ที่อยู่ในระบบนิเวศของเราอย่างต่อเนื่อง โดยยึดมั่นในหลักความยั่งยืน (ESG) ตลอดจนแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มกำลังผลิตและขยายขอบข่ายห่วงโซ่คุณค่าในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานที่มีศักยภาพสูงด้วยแนวโน้มความต้องการของตลาดที่คาดการณ์ว่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2593" นางสมฤดีกล่าว
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจของบ้านปูได้ที่ https://www.banpu.com
และเฟซบุ๊ก www.facebook.com/Banpuofficialth