KCC เดินหน้านำเงินไอพีโอ-หุ้นกู้ ร่วมพันล้านลุยซื้อหนี้ NPLs ดันปีนี้พอร์ตโตเท่าตัว แตะพันล้าน วางเป้าปี 67 พอร์ตโตต่อเกิน 2.1 พันล้าน ส่วนไตรมาสแรกปีนี้ยังคงโชว์ความสามารถ ในการทำกำไรได้ระดับสูงต่อเนื่อง อัตรากำไรขั้นต้น 87.73% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิพุ่ง 65.92% แถมบรรลุภารกิจช่วยลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจและที่อยู่อาศัย ปลดหนี้ปิดบัญชีกลับสู่ระบบเศรษฐกิจปกติเดินหน้าทำธุรกิจได้ต่อเนื่อง
นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ KCC ผู้ดำเนินธุรกิจจัดหาและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สิน รอการขายและการปรับปรุงทรัพย์สินรอการขายเพื่อจำหน่าย เปิดเผยว่า ภายหลังจากบริษัทได้ระดมเงินทุน ทั้งจากตลาดทุนและตลาดเงิน ด้วยการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 592 ล้านบาท และจากการเสนอขายหุ้นกู้ มูลค่า 350 ล้านบาท ทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาเกือบ 1,000 ล้านบาท ใช้ในการจัดหา สินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายเพิ่มขึ้น โดยปีนี้ตั้งเป้าจะซื้อหนี้ NPLs จำนวน 800 ล้านบาท และจะทยอยซื้อหนี้ NPLs อย่างต่อเนื่อง คาดว่าปลายปี 2565 พอร์ตลูกหนี้ของบริษัทจะโตทะลุเป็นมากกว่า 1,000 ล้านบาท จากสิ้นไตรมาสแรกปี 2565 พอร์ตลูกหนี้ NPLs ของบริษัทอยู่ที่ 527 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดมากกว่า 2 เท่าตัว ซึ่งจะหนุนให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตตามไปด้วยและคาดว่า เมื่อสิ้นปี 2567 พอร์ตลูกหนี้ของบริษัทจะขยับขึ้นไปอยู่ในระดับที่มากกว่า 2,100 ล้านบาท
"บริษัทมีแผนชัดเจนว่าภายใน 3 ปี พอร์ตลูกหนี้ NPLs ของบริษัทจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้นและการเข้าระดมทุนทำให้ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อนำมาขยายธุรกิจเปิดกว้างขึ้นและการที่บริษัทมีหนี้สินต่อทุน (D/E) ลงมาเหลือ 0.58 เท่า จากเดิม 0.63 เท่า ซึ่งยังห่างจากนโยบายที่วางไว้ที่ 2 ต่อ 1 เท่า ทำให้ยังมีความสามารถกู้เงินมาขยายพอร์ตหนี้ได้อีกมาก สอดรับกับปริมาณหนี้ NPLs ในระบบที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยตัวเลขล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่าทั้งระบบมี NPLs ณ สิ้นไตรมาสแรกที่ 5.3 แสนล้าน" นายทวี กล่าว
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทในงวดไตรมาส 1 ปี 2565 ยังสามารถรักษาความสามารถทำกำไรให้อยู่ในระดับสูง โดยบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 87.73% และมีอัตรากำไรสุทธิ 65.92% หากดูสถิติเฉลี่ยต่อปีย้อนหลัง 4 ไตรมาสจะพบว่าบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 88.35% และมีอัตรากำไรสุทธิ 39.61%
อย่างไรก็ตามในไตรมาส 1 ปี 2565 นี้ บริษัทมีกำไรสุทธิ 19.12 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 5.67% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 20.27 ล้านบาท เนื่องจากมีลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจและลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสามารถดำเนินการจ่ายชำระหนี้และปิดบัญชีได้ ทำให้กำไรจากรายได้ดอกเบี้ยรับลดลง แต่ในทางกลับกันการปิดบัญชีของลูกหนี้ทำให้บริษัทรับรู้รายได้และกำไรจากการรับชำระหนี้เพิ่มขึ้นและส่งผลให้บริษัทมีเงินสดรับเพิ่มขึ้น โดยสิ้นไตรมาสแรกบริษัทมีเงินสดรับเข้ามา 62.72 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 11.15% ของพอร์ตลูกหนี้ NPLs และสินทรัพย์รอการขายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีเงินสดรับ 32.82 ล้านบาท คิดเป็น 5.45% ของพอร์ตลูกหนี้ NPLs และสินทรัพย์รอการขายของบริษัท
"ถือว่าบรรลุพันธกิจของบริษัท ที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยฟื้นฟูและนำลูกหนี้ที่มีปัญหาให้กลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจตามปกติได้ภายหลังจากดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ได้ตามแผน ซึ่งในไตรมาสแรกปีนี้มีลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อที่อยู่อาศัยหลายราย" นายทวี กล่าว
ทั้งนี้ ณ 31 มีนาคม 2565 บริษัทมีพอร์ตหนี้ NPLs คงเหลือ 527.40 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้สินเชื่อธุรกิจ หรือ Corporate Loans 64% ที่เหลือ 36% เป็นลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย (Housing Loans) โดยลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจเกือบ 80% เป็นลูกหนี้ที่อยู่ในสถานะระหว่างเจรจาและปรับปรุงโครงสร้างหนี้