กลุ่มบิวท์ฯ แย้มยอดขายครึ่งปีโตก้าวกระโดดสวนเศรษฐกิจ คาดคว้ายอดขายปิดงบครึ่งปีแรก 700 ล้าน เผยประเด็นต้นทุนวัสดุพุ่ง เตรียมจัด "Grand Site Seeing สร้างบ้าน ต้องเห็นบ้าน" ครั้งใหญ่ที่สุดของปี หวังเร่งลูกค้าตัดสินใจสร้างบ้านโค้งสุดท้ายก่อนปรับราคาเฉลี่ย 7% ในไตรมาส 3/56 นี้
นายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ บริษัทรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า สำหรับการดำเนินธุรกิจรับสร้างบ้านของกลุ่มบริษัทฯ ในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา ภาพรวมการดำเนินงานและยอดขายค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ หรืออาจจะกล่าวได้เลยว่าเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 64 ที่ผ่านมา ซึ่งสวนทางกับเศรษฐกิจในประเทศที่ยังชะลอตัว อันเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกก็ตาม โดยในปีนี้เห็นได้ชัดเจนว่ากลุ่มบ้านขนาดใหญ่ระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป มีการขยายตัวโดยลูกค้าตัดสินใจจองสร้างบ้านมากขึ้น ตามด้วยบ้านราคา 5 - 7 ล้านบาท ที่มีการเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงจำนวนการติดต่อเข้ามาของลูกค้า หรือที่ยังอยู่ระหว่างติดตาม ซึ่งเชื่อมั่นว่าภายในครึ่งปีแรกนี้กลุ่มบริษัทฯ จะสามารถปิดยอดขายได้ที่ 700 ล้านบาท จากเป้าหมายของยอดขายรวมทั้งปี 65 ที่วางไว้ 1,000 ล้านบาท
เนื่องด้วยเหตุผลที่กลุ่มลูกค้าของธุรกิจรับสร้างบ้าน เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างจะต้องอาศัยความพร้อมในการวางแผน การเตรียมที่ดิน การคัดเลือกบริษัทที่มีความเชื่อมั่น น่าเชื่อถือ สามารถไว้วางใจได้ ซึ่งเป็นเกณฑ์สำคัญก่อนตัดสินใจสร้างบ้าน จึงทำให้แม้ในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจชะลอตัวหรือเติบโตได้ไม่เต็มที่มากนัก แต่หากลูกค้ามีความพร้อมและมีความเชื่อมั่นในแบรนด์ก็จะช่วยเป็นแรงกระตุ้นและผลักดันให้เกิดการตัดสินใจในที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าบ้านราคา 10 -20 ล้านบาทขึ้นไปที่อาจจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
ทั้งนี้จากสถานการณ์ของต้นทุนวัสดุไม่ว่าจะเป็นเหล็ก หิน ปูน ทราย สุขภัณฑ์ ฯลฯ รวมทั้งค่าแรงของภาคอสังหาฯ และการก่อสร้างที่มีการปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยแล้วประมาณ 10% จากวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลกระทบในภาพรวม ทั้งการขนส่ง ราคาน้ำมัน ภาวะเงินเฟ้อ ฯลฯ ส่งผลให้ราคาบ้านมีการขยับสูงขึ้นไปโดยปริยาย ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้มีการทยอยปรับขึ้นราคาบ้านกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ตามต้นทุนค่าก่อสร้างที่สูงขึ้นอย่างมากตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
สำหรับกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ นั้น ได้พยายามตรึงราคาบ้านมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 65 หลังจากที่ได้ทราบถึงสัญญาณการปรับขึ้นของราคาเหล็ก น้ำมัน และวัสดุอื่นๆ รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่คาดว่าจะส่งผลอย่างต่อเนื่องตลอดปีนี้ ด้วยการวางแผนบริหารจัดการต้นทุนโดยการสต๊อกวัสดุก่อสร้างไว้ ทั้งจาก Order การสั่งสร้าง และการคาดการณ์จากความต้องการของลูกค้าที่มีแนวโน้มตัดสินใจสั่งสร้าง จึงทำให้ช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานี้ กลุ่มบริษัทฯ ได้มีการสต็อกวัสดุไว้เพียงพอโดยไม่จำเป็นต้องปรับราคาบ้านเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระและลดความกังวลใจของกลุ่มลูกค้าในการตัดสินใจสร้างบ้านได้พอสมควร
แต่อย่างที่ทราบกันดีถึงสถานการณ์ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทฯคาดว่าในช่วงไตรมาส 3 /65 นี้ จำเป็นต้องทำการปรับขึ้นราคาสร้างบ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อสะท้อนต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง แต่ก็พยายามจะปรับราคาไม่ให้สูงเกินไป โดยคาดว่าจะปรับเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7% ทั้งนี้กลุ่มบริษัทฯไม่ต้องการผลักภาระให้แก่ผู้บริโภคมากจนเกินไป แต่จะเน้นทำแผนในการควบคุมคุณภาพงานก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งถือเป็นแนวทางที่จะช่วยให้สามารถบริหารต้นทุนท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น
นายสุธี กล่าวต่อว่า และเพื่อเพิ่มโอกาสให้แก่ลูกค้าที่กำลังมีแผนสร้างบ้าน ได้มีบ้านที่คุ้มทั้งคุณภาพและราคาในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนปรับราคาในไตรมาส 3 /65 นี้ ทางกลุ่มบริษัทฯ ได้เตรียมจัดอีเวนท์ครั้งใหญ่ที่สุดของปี "GRAND SITE SEEING สร้างบ้าน ต้องเห็นบ้าน" ในวันเสาร์ที่ 18 มิ.ย. 65 ที่สำนักงานใหญ่ อ่อนนุช 46 โดยกิจกรรมนี้ไม่เพียงแต่เป็นการนำลูกค้าเยี่ยมชมไซต์งานสร้างบ้าน เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงประสบการณ์และขั้นตอนการสร้างบ้าน ณ ไซต์งานจริง โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคอยให้ความรู้ตลอดกิจกรรมเท่านั้น แต่ถือเป็นมหกรรมสร้างบ้านครั้งใหญ่ประจำปี โดยอัดโปรโมชั่นสร้างบ้านราคาสุดพิเศษ พร้อมทั้งข้อเสนอและของสมนาคุณให้แก่ลูกค้าที่ตัดสินใจสร้างบ้านเฉพาะงานนี้เท่านั้น ซึ่งถือเป็นโปรโมชั่นโค้งสุดท้ายก่อนปรับราคา โดยเชื่อว่ากิจกรรมนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีและยังช่วยเป็นตัวเร่งการตัดสินใจสร้างบ้านให้แก่ลูกค้าได้มากขึ้น
สำหรับภาพรวมในช่วงครึ่งปีหลัง 65 แน่นอนว่าภาคอสังหาฯ และเศรษฐกิจของไทยยังคงต้องเผชิญกับปัญหารอบด้านที่ได้รับผลกระทบอยู่ในปัจจุบัน แต่ก็ยังพอมีสัญญาณที่ดีจากเรื่องโควิด-19 ที่มีแนวโน้มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้มีการเปิดประเทศเต็มรูปแบบมาช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ แต่ต้องยอมรับภาพรวมอาจจะยังไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวเต็มกำลังหรือกลับมาอยู่ในสภาวะปกติได้ภายในปีนี้ ดังนั้นจึงจะขึ้นอยู่ที่การบริหารจัดการของผู้ประกอบการแต่ละรายว่าจะสามารถรับมือ หรือมีวิธีบริหารความเสี่ยงได้อย่างไร โดยในส่วนของธุรกิจรับสร้างบ้านนั้นเชื่อว่าหัวใจหลักสำคัญที่จะช่วยให้รอดพ้นช่วงวิกฤตไปได้ คือ การสร้างแบรนด์ให้มีความน่าเชื่อถือ มั่นคง และสามารถไว้วางใจได้ทั้งในเรื่องคุณภาพงานก่อสร้างและการบริการทั้งก่อนและหลังการขาย จากนั้นจึงเสริมด้วยการทำโปรโมชั่น มอบส่วนลดพิเศษ เพื่อเป็นตัวช่วยให้ลูกค้าได้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น