ตัวละคร (The Forbidden Kingdom)

ข่าวบันเทิง Wednesday March 19, 2008 17:14 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--19 มี.ค.--สหมงคลฟิล์ม
ตัวละคร
เจสัน ทรีพิทาคัส (ไมเคิล แอนการาโน่)
ครั้งแรกที่เจสันปรากฏตัว เราจะเห็นว่าเขาคือวัยรุ่นคนหนึ่งจากบอสตันในอเมริกายุคปัจจุบันที่บ้าศิลปะการต่อสู้และวัฒนธรรมจีน เขาคลั่งไคล้ บรูซ ลี, เฉินหลง, เจ๊ทลี และหนังกังฟูจีน ต่อมาเขาพบกระบองวิเศษของซุนหงอคงที่โรงรับจำนำแห่งหนึ่งย่านไชน่าทาวน์ และถูกดึงเข้าไปในยุคจีนโบราณเพื่อปฏิบัติภารกิจคืนกระบองให้ซุนหงอคง
“เขาเป็นเด็กที่ไม่รู้จักพึ่งตัวเองและไม่เชื่อฟังคนที่อาบร้อนมาก่อน แต่กลับใช้ชีวิตเพ้อฝันกับหนังกำลังภายในที่ชอบดู เมื่อกระบองวิเศษพาเขาสู่อีกโลกหนึ่ง และได้พบกลุ่มคนที่ช่วยเปลี่ยนแปลงเขา การเปลี่ยนแปลงและการเดินทางครั้งนี้ของเจสัน เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกเข้าถึง” ไมเคิล แอนการาโน่ กล่าว
บังเอิญเหลือเกินที่ระหว่างโลกของเจสันและโลกคู่ขนานในหนังกังฟูที่เขาชอบทำให้เฉินหลงนึกถึงตัวละครตัวหนึ่งที่เขาเคยแสดง “เจสันทำให้ผมนึกถึง ‘หยวนเสี้ยวเทียน’ ตัวละครกังฟูหนุ่มมือใหม่ที่ผมแสดงใน ‘ไอ้หนุ่มหมัดเมา’”
ลู่หยาน และ คุณลุงเจ้าของโรงรับจำนำ (เฉินหลง)
ลู่หยานเหมือนกับไอ้หนุ่มหมัดเมาตรงที่เขาใช้ชีวิตอย่างอิสระและชอบกินเหล้า เมื่อได้พบเจสัน เขาก็กลายเป็นองครักษ์และครูสอนกังฟูของเด็กหนุ่มคนนี้อย่างไม่ค่อยเต็มใจ และจากคนที่ไม่เคยจริงจังกับชีวิต ลู่หยานได้แสดงทักษะการต่อสู้ พร้อมกับอารมณ์ขันและศักดิ์ศรีให้ทุกคนได้เห็น เขาเป็นตัวละครสำคัญที่มีความคล้ายคลึงกับเซียนทั้งแปดในตำนานลัทธิเต๋าของจีน
ในส่วนของบทคุณลุงเจ้าของโรงรับจำนำในบอสตันที่เจสันชอบไป เฉินหลงบอกว่า “ฉากที่ผมแสดงเป็นลุงคนนี้เป็นแกที่ผมชอบที่สุด ผมพยายามเลียนแบบการพูดและท่าทางการเดินของ มาร์ลอน แบรนโด ใน The Godfather แต่ใส่ความเป็นเฉินหลงเข้าไป” เฉินหลงไม่เคยรู้ว่าคุณลุงคนนี้อายุเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเขาจึงตีความเอาเองตามที่เห็นสมควร โดยที่ผู้กำกับก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร สิ่งเดียวที่บอกใบ้เขาคือเมคอัพหลายชั้นบนหน้าและบนตัวที่ทำให้เขาดูแก่หงำเหงือก
“ทั้งวันผมไม่อยากกินและไม่อยากคุยกับใครเลย เพราะเมคอัพทำให้คุณหงุดหงิดได้ง่ายมาก” เฉินหลงใช้เวลา 7 ชั่วโมงในการใส่เมคอัพและ 2 ชัวโมงในการถอดออก ซึ่งเขาบอกว่าเป็นขั้นตอนที่ท้าทายความอดทนอย่างมาก “ตั้งแต่ตีห้า ผมต้องนั่งให้ทีมเมคอัพละเลงกาวบนหน้าเหมือนเวลาคุณเทน้ำผึ้งลงบนแพนเค้ก มันทรมานมาก ผมก็เลยรู้สึกชื่นชมนักแสดงอย่าง จอห์น ทราโวต้า จริงๆที่ต้องใส่ทั้งชุดอ้วนและแปะเมคอัพหนาเตอะตอนที่เขาแสดงเรื่อง Hairspray”
นักบวชใบ้ และ ซุนหงอคง (เจ๊ท ลี)
ตอนที่ได้รับการทาบทามให้มารับบทเป็นซุนหงอคง เจ๊ทลีตื่นเต้นมาก เพราะนี่คือตัวละครระดับตำนานที่เขาไม่เคยแสดงมาก่อน แต่การเมคอัพที่กินเวลา 5 ชั่วโมงครึ่งทำให้เขาเกือบถอนตัว “ผมรู้สึกกลัวและเกือบปฏิเสธบทนี้ไปแล้ว เพราะผมไม่มั่นใจว่าจะสามารถแสดงและเข้าฉากบู๊ในเมคอัพหนาเตอะแบบนั้นได้” ดังนั้นผู้กำกับ ร็อบ มินคอฟ และผู้อำนวยการสร้าง เคซี่ย์ ซิลเวอร์ จึงไปปรึกษากับฝ่ายศิลป์และเครื่องแต่งกายเพื่อปรับภาพลักษณ์ของซุนหงอคงใหม่ ซึ่งทำให้เจ๊ทลีโล่งใจ เพราะระยะเวลาการเมคอัพลดลงเหลือเพียง 3 ชั่วโมง
ซุนหงอคงปรากฏตัวเพียง 20 นาทีในหนัง เพราะนั้น เพื่อใช้ทรัพยากรอันมีค่าอย่างเจ๊ทลีให้คุ้ม ทีมงานจึงให้เขาแสดงอีกบทหนึ่ง นั่นคือ นักบวชใบ้ ซึ่งกลายเป็นร่างหนึ่งใน 72 ร่างของซุนหงอคง
นักบวชใบ้ช่วยปกป้องเจสันด้วยท่าทีเยือกเย็นตลอดการเดินทางไปคืนกระบองและปลดปล่อยซุนหงอคง เจ๊ทลีพูดถึงบทในอุดมคติทั้งสองบทนี้อย่างปลื้มใจว่า “ผมแสดงหนังเรื่องนี้เพื่อลูก”
นางแอ่นทองคำ (หลิวอี้เฟย)
นางแอ่นทองคำคือเด้กกำพร้าที่มีเป้าหมายเดียวในชีวิตคือแก้แค้นแม่ทัพหยกที่ฆ่าพ่อแม่ของเธอ นางแอ่นทองคำมีทักษะการต่อสู้ยอดเยี่ยม และมีลูกดอกเป็นอาวุธประจำกาย ขณะปลอมตัวเป็นนักดีดพิณในโรงน้ำชา เธอได้เข้ามาช่วยเจสันและลู่หยานต่อสู้กับลูกสมุนของแม่ทัพหยกที่หมายจะชิงกระบองวิเศษ เมื่อนางแอ่นทองคำได้รู้ว่าลู่หยานและเจสันกำลังมุ่งหน้าไปที่วังของแม่ทัพหยก เธอก็ตัดสินใจร่วมทางไปกับพวกเขาด้วย เพราะไปหลายคนย่อมปลอดภัยกว่า
“เรื่องราวของเธอเข้มข้นทั้งอดีต, ปัจจุบัน และโชคชะตาในอนาคต ซึ่งทุกอย่างคลี่คลายในตอนท้ายของหนัง มันทำให้ฉันมีพื้นที่มากมายในการแสดง” หลิวอี้เฟยกล่าว เมื่อนางแอ่นทองคำเริ่มมีใจให้เจสัน อารมณ์ของตัวละครก็ยิ่งซับซ้อนขึ้น “ฉันคิดว่าผู้ชมจะอินกับอดีตที่น่าสงสารและความรักของเธอ บุคลิกที่เข้มแข็งและความเปราะบางทำให้คนชอบเธอได้ง่าย และฉันโชคดีมากที่มีโอกาสรับบทเป็นนางแอ่นทองคำ ซึ่งเป็นตัวเอกฝ่ายหญิงคนเดียวในเรื่อง”
หนี่จาง / นางพญาผมขาว (หลี่ปิงปิง)
ผู้กำกับภาพ ปีเตอร์ เปา เป็นผู้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับตัวละครหลายตัวในบทหนัง รวมถึงนางพญาผมขาวด้วย เพราะในปี 1993 เขาเป็นผู้กำกับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่อง The Bride with White Hair ที่สร้างจากนวนิยายกำลังภายในชื่อเดียวกัน แรกเริ่มเดิมทีบทนักสู้ฝ่ายร้ายตัวนี้เป็นผู้ชาย แต่เมื่อเปาเสนอกับทีมงานว่าน่าจะเปลี่ยนบทนี้ให้เป็นนางพญาผมขาวหรือชื่อจริงว่าหนี่จางแทน ผู้อำนวยการสร้างและมือเขียนบทก็เห็นด้วยทันที
ตอนต้นเรื่อง หนี่จางพยายามออกจากกลุ่มเพื่อไปอยู่กับคนรักจนถูกหัวหน้าทรมาน ต่อมาเมื่อรู้ว่าตัวเองถูกคนรักทรยศ ผมของเธอก็กลายเป็นสีขาวด้วยแรงโทสะ หนี่จางมีทักษะการต่อสู้ดีอยู่แล้ว เพราะหัวหน้าฝึกทักษะการต่อสู้ให้เธอจนช่ำชองเพื่อทำงานสกปรก สภาพบอบช้ำจากความรักทำให้เธอบันดาลความแค้นกับผู้ชายทุกคน โดยเฉพาะผู้ชายที่อ่อนแอกว่าและไม่อาจต่อกรกับเธอได้
ใน Forbidden Kingdom แม่ทัพหยกไว้ใจให้หนี่จางไปชิงกระบองวิเศษที่จู่ๆก็ปรากฎขึ้นโดยสัญญาว่าจะให้ทุกอย่างที่เธอต้องการเป็นสิ่งตอบแทน หนี่จางตกลงรับงานนี้โดยขอแลกเปลี่ยนกับน้ำอมฤตที่จะทำให้เธอคงความสาวและเป็นอมตะ
หลี่ปิงปิงผู้รับบทนหนี่จางหรือนางพญาผมขาวบอกว่าเธอมองตัวละครนี้เป็นเหยื่อมากกกว่าผู้ร้าย “ฉันสงสารเธอ หนี่จางถูกคนที่รักที่สุดทรยศ เธอจึงไม่เคารพผู้ชายอีกต่อไป จริงอยู่ที่เธอสามารถฆ่าคนได้เพื่อให้บรรลุสิ่งที่ต้องการ แต่ก็ไม่มีใครสนใจเธอจริงจัง คนดูจะมองเธอเป็นพวกเลือดเย็นมากกว่า ด้วยความที่มีทักษะการต่อสู้เป็นเลิศ คนจึงกลัวเธอ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เธอเปลี่ยนแปลงไม่ได้” หลี่ปิงปิงกล่าว
ในหนัง หนี่จางเปิดฉากต่อสู้กับตัวละครหลักทุกตัวโดยใช้อาวุธอย่างแส้, ลูกธนู และเส้นผมของเธอเอง ฉากแอ๊คชั่นของหนี่จางที่ออกแบบโดยหยวนวูปิงเป็นฉากที่น่าตื่นตาที่สุดฉากหนึ่งที่ผู้ชมจะได้เห็น
แม่ทัพหยก (คอลลิน โจว)
อย่างที่ คอลลิน โจว บอก แม่ทัพหยกไม่ใช่ตัวละครชั่วร้ายเสียทีเดียว เขาเพียงดูแลให้อาณาจักรเป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่เขาเห็นว่าละเมิดกฎหรือไม่เชื่อฟัง เขาจึงไม่ลังเลที่จะกำจัดทิ้งหรือสั่งสอน เช่นที่เขาจองจำซุนหงอคงในก้อนหินเป็นเวลากว่า 5 ศตวรรษ
ทันทีที่รู้ว่ากระบองวิเศษที่สามารถใช้ปลดปล่อยซุนหงอคงได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แม่ทัพหยกก็ร้อนใจและส่งนางพญาผมขาวไปชิงกระบองก่อนที่จะไปถึงมือซุนหงอคง
คัดตัวนักแสดง
ผู้อำนวยการสร้าง เคซี่ย์ ซิลเวอร์ ตั้งใจไว้ตั้งแต่อ่านบทครั้งแรกแล้วว่าอยากให้ เฉินหลง และ เจ๊ท ลี มารับบทนำ ดังนั้นเขาจึงเริ่มจากติดต่อนักแสดงระดับโลกสองคนนี้ก่อน ซึ่งนี่คือครั้งแรกในการร่วมงานกันของทั้งคู่
ซิลเวอร์ติดต่อ เจ๊ท ลี ก่อน โดยส่งบทหนังไปให้อ่าน เพราะเขามีบ้านอยู่ในแคลิฟอร์เนีย เมื่อได้คุยกันสั้นๆ ลีก็แสดงความสนใจทันที “ผมโชคดีที่เสนอบทที่ลีสนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นอกจากเขาจะรู้จักซุนหงอคงและเข้าใจความสำคัญของตัวละครนี้ในประเทศจีนดีแล้ว เขายังแสดงความคิดเห็นจากมุมมองของคนจีนแท้ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์มาก ที่สำคัญเขาต้องการนำตัวละครตัวนี้สู่สายตาผู้ชมระดับนานาชาติด้วย” ซิลเวอร์กล่าว
นักแสดงคนต่อมาที่เข้าร่วมโปรเจ็คต์คือ เฉินหลง “จำได้ว่าผมกำลังดูลูกเตะฟุตบอลอยู่ตอนที่ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าเฉินหลงสนใจ ผมรีบบินไปฮ่องกงเลย แล้วไปคุยกับเขา เฉินหลงมีไอเดียที่เปิดกว้างมากเลย”
เฉินหลงไม่ลังเลที่จะบอกว่าเหตุผลแรกที่เขาสนใจ The Forbidden Kingdom เพราะเจ๊ทลีแสดง “ผมอยากร่วมงานกับนักแสดงทีผมชอบอย่าง ดัสติน ฮอฟแมน และโรเบิร์ท เดอ นีโร สักครั้งก่อนเกษียณ เจ๊ทลีก็เป็นคนหนึ่งที่ผมอยากร่วมงานด้วยมาเป็นสิบปีแล้ว”
ไม่มีใครรู้ว่าเจ๊ทลีกับเฉินหลงพลาดโอกาสในการร่วมงานกันมา 2 ครั้งแล้ว ครั้งแรกเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ครั้งที่สองเมื่อ 8 ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินข่าวว่าอีกฝ่ายหนึ่งตกลงแสดงใน The Forbidden Kingdom ก็เลยเป็นเหมือนชะตาลิขิตและแรงผลักดันให้ทั้งคู่เข้ามารับบทนี้ เฉิหลงบอกว่า “พอได้ยินว่าลีโอเค ผมก็ตอบตกลงทันที”
ฝ่าย เจ๊ท ลี บอกว่า “ในที่สุดเราก็ได้ร่วมงานกันเสียที ผมก็ดีใจเป็นธรรมดา ก่อนหน้านี้ เราเป็นเพื่อนกันมานานแล้ว เพราะฉะนั้นนี่คือโอกาสที่ดีมาก และถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากร่วมงานกับเขาอีก”
ไมเคิล แอนการาโน่ เข้ามารับบท เจสัน จากการคัดเลือกของ แนนซี่ ฟอย ผู้คัดเลือกนักแสดงประจำกองถ่าย แอนการาโน่เล่าว่า “หลังจากทดสอบบทกับร็อบ (ผู้กำกับ) ผมก็ถูกส่งไปทดสอบร่างกายเป็นเวลา 3 ชั่วโมงโดยฝึกกังฟูกับเด็กคนอื่นๆเพื่อดูศักยภาพในการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ หลังจากนั้นผมก็ไปพบเฉินหลงที่กองถ่าย Rush Hour 3 เขาเป็นกันเองมาก นั่นแหละคือขั้นตอนสุดท้าย กว่าจะรู้ตัว ผมก็ได้บทนี้และอยู่ในประเทศจีนแล้ว”
สำหรับบท หนี่จาง หรือนางพญาผมขาว ป๊อบปิ้ง โอหยาง ผู้เชี่ยวชาญการคัดเลือกนักแสดงเอเชีย มีนักแสดงเอเชียหญิง 3 คนในใจ แต่สุดท้ายบทนี้ก็ตกเป็นของ หลี่ปิงปิง ที่เอาชนะใจผู้อำนวยการสร้าง ซิลเวอร์และผู้กำกับมินคอฟฟ์ด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษที่ไร้ที่ติของเธอ
หลี่ปิงปิงบอกว่า “ครั้งแรกที่ร็อบ, เคซี่ย์ และราฟเฟลล่าเห็นฉัน เขารูปร่างหน้าตาของฉันไม่เหมือนนางพญาผมขาวในจินตนาการเขาเลย เพราะพวกเขาคิดว่านางพญาผมขาวต้องดูแก่กว่านี้และมีผมหงอกขาวทั้งหัว แต่หลังจากที่ฉันแสดงให้เขาเห็นว่าฉันสามารถแสดงบทนี้ได้จริงๆ พวกเขาก็มั่นใจขึ้นว่าฉันเหมาะกับบทนี้”
เฉินหลงเองก็เชื่อว่าหลี่ปิงปิงเหมาะสมกับบทนางพญาผมขาว “ผมรู้จักหลี่ปิงปิงมาเป็น 10 ปีแล้ว เธออาจจะเป็นดาราดังในจีน แต่เธอก็เต็มใจจะลองสิ่งใหม่ๆ แม้จะเป็นบทร้าย หรือบทที่ไม่ใช่นางเอก นั่นคือสิ่งที่ผมชื่นชมเธอ”
ในส่วนของตัวละครนางแอ่นทองคำ โอหยางร่ายยาวรายชื่อนักแสดงที่เธอหมายตาสำหรับบทนี้ให้มินคอฟฟัง แต่หลิวอี้เฟยโดดเด่นที่สุดและโอหยางเชื่อมั่นว่าเธอเพอร์เฟ็คต์สำหรับบทนี้ หลังจากได้คุยกัยมินคอฟฟ์และทดสอบบทร่วมกัน หลิวอี้เฟยก็กลายเป็นตัวเลือกสุดท้าย แม้ความสูงของเธอจะน้อยไปนิด แต่ก้ไม่เป็นปัญหา “เธอเป็นนักแสดงที่ดีมาก และจริงจังกับการทำงาน เธอแสดงดีจนแทบจะขโมยซีนเลย” ผู้กำกับมินคอฟฟ์กล่าว
กำกับภาพโดย ปีเตอร์ เปา
สำหรับภาพยนตร์แอ๊คชั่นกังฟูฟอร์มใหญ่ขนาดนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือคนที่สามารถเชื่อมความเป็นตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วยกันได้ ปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องภาษา สำหรับกองถ่ายที่ที่มีทีมงานและนักแสดงเป็นชาวเอเชียจำนวนาก การสื่อสารกันไม่เข้าใจอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดร้ายแรงจนถึงขั้นเสียงาน ผู้กำกับภาพระดับอินเตอร์ ปีเตอร์ เปา จึงเป็นตัวเลือกแรกและตัวเลือกเดียวของโปรเจ็คต์นี้
ปีเตอร์ เปา พูดถึงสิ่งที่ทำให้เขาสนใจโปรเจ็คต์นี้ว่า “ผมว่ามันเป็นความคิดที่ดีมากเลยนะ ที่ให้ราชานักบู๊สองคนที่โด่งดังที่สุดในจีนมาแสดงร่วมกัน และถ่ายทำทั้งหมดในประเทศจีน อย่างแรกที่ผมคิดตอนรู้ตัวว่าจะได้ถ่ายภาพให้เรื่องนี้คือ ว้าว โชคดีจังที่ร่วมงานกับยอดฝีมือตั้งสองคนในหนังเรื่องเดียว” เปากล่าว
“อีกอย่าง บทหนังเรื่องนี้ไม่ได้แค่ให้ความรู้เกี่ยวกับปรัชญาจีนเท่านั้น แต่ยังเชื่อมเหตุการณ์ของสองฟากโลกที่เกิดขึ้นในโลกยุคเก่าและยุคใหม่เข้าไว้ด้วยกันด้วยแนวทางที่แปลกใหม่ มือเขียนบท จอห์น ฟัสโก้ ฝึกกังฟูมาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นบทหนังเรื่องนี้ก็เลยเป็นเหมือนบันไดที่จะทำให้เขาเข้าใจวัฒนธรรมจีนเพิ่มขึ้นอีกขั้น เขาเชื่อมวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกไว้ได้อย่างบันเทิง สนุกสนาน และมีความหมาย”
สำหรับเปา นี่คือหนังฟอร์มใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาถ่ายภาพให้ในประเทศจีน “ผมต้องแบ่งทีมกล้องเป็น 2 ทีม แต่ละทีมมีสมาชิก 50 กว่าคนสำหรับดูแลเรื่องกล้องและแสง การรักษามาตรฐานการทำงานภายในระยะเวลาการถ่ายทำ 17 สัปดาห์ บวกช่วงเตรียมงานอีก 3-5 สัปดาห์เป็นงานที่ท้าทายมาก แถมการเดินทางขนอุปกรณ์ยังไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย แต่ผมพอใจสปิริตการทำงานของทีมงานมากครับ”
ในสายตาของศิลปิน เปาพูดถึงแรงบันดาลใจของเขาว่า “โทนสีเบาๆของ Crouching Tiger, Hidden Dragon ได้แรง บันดาลใจมาจากภาพสีน้ำของจีน แต่ The Forbidden Kingdom สีจะสดใสเข้มข้นเหมือนภาพวาดของแวนโกะห์ เพราะมันเป็นหนังแอ๊คชั่น/ผจญภัย/แฟนตาซีที่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์”
กระบวนการถ่ายทำง่ายขึ้นด้วยระบบกล้องดิจิตอล Panavision Genesis ที่เปาใช้ และเขาเป็นคนแรกในเอเชียที่ใช้ระบบนี้ “ผมพอใจคุณภาพของ CCD และแน่นอน เลนส์พานาวิชั่น ที่สามารถบันทึกภาพได้นาน 1 ชั่วโมงและสามารถเล่นได้ที่ความเร็ว 48 เฟรมต่อวินาทีในเฟรมจริง ระบบนี้ปลอดภัยและไว้ใจได้ เราทดสอบแล้วกับความร้อนและฝุ่นละอองในทะเลทราย ความชื้นที่น้ำตกและช่องเขา รวมทั้งการใช้งานในสภาพอากาศร้อนโดยไม่มีเครื่องปรับอากาศ นอกจากนี้ยังไม่มีปัญหาเรื่องการขนส่งเลย เรานำฟิล์มเนกาทีฟไปผ่านกระบวนการโดยไม่มีรายงานเรื่องฝุ่นหรือรอยขีดข่วนเลย”
ปีเตอร์ เปา เป็นคนเด็ดขาดและทำงานหนักซึ่งทำให้เขาโดดเด่นกว่าใครในทีม เปาอธิบายว่า “ผมจะวางแผนทุกช็อตไว้ก่อนตั้งแต่เช้า เพื่อให้แน่ใจว่าการถ่ายภาพของเราเข้ากันได้ดีกับนักแสดง การจัดอุปกรณ์ และประหยัดเวลา ผมพยายามประสานงานกับทีมงานมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่ให้กระทบกระบวนการในวันถ่ายทำ”
ตัวอย่างการทำงานอย่างมั่นใจของ ปีเตอร์ เปา คือฉากการต่อสู้ที่เรียกได้ว่าสำคัญที่สุดฉากหนึ่งของหนัง “ในฉากต่อสู้ของเฉินหลงกับ เจ๊ท ลี ผมแนะนำให้สร้างฉากซากวัดขึ้นเป็นฉากภายในด้วยบรรยากาศเงียบๆจะได้ขับเน้นฉากแอ๊คชั่น ผมคิดว่านี่คือฉากที่น่าจดจำที่สุดในหนัง ก็เลยตั้งใจกับฉากนี้มาก ร็อบกับวูปิงขอให้นักแสดงเคลื่อนไหวไปรอบๆให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมก็เลยใช้เทคโนเครน 15 ฟุต เพื่อความยืดหยุ่น และหัวบังคับ 2 หัว พร้อมกับเครนซูเปอร์สกายโหมดเพื่อให้ทีมงานหลักและทีมแอ๊คชั่นเคลื่อนไหวได้ในวงกว้าง ซึ่งทีมกล้องของผมทำงานได้ดีเยี่ยมเหมือนเดิม”
นอกจะเป็นผู้กำกับภาพที่สามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างคล่องแคล่วและมีประสิทธิภาพโดยไม่มีปัญหาเรื่องกำแพงภาษาแล้ว ปีเตอร์ เปา ยังมีผลงานภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้มากมายเป็นเครดิต โดยเฉพาะ Crouching Tiger, Hidden Dragon ที่ทำให้เขาคว้ารางวัลออสการ์สาขาการกำกับภาพยอดเยี่ยมมาครองได้สำเร็จ นอกจากนี้ความรู้และความเข้าใจวัฒนธรรมจีนในฐานะคนท้องถิ่น ทำให้เปาสามารถถ่ายทอดการผสมผสานกันระหว่างภาพวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกในภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาได้อย่างลงตัว
เปาแบ่งปันประสบการณ์การถ่ายทำภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้ว่า “จังหวะการเคลื่อนกล้องคือกุญแจสำคัญของการขับเน้นฉากแอ๊คชั่น การบังคับเครนต้องใช้คนดูแลเครน, ดูแลดอลลี่, คนบังคับซูม ทั้งเทคโนเครนและเลนส์ซูม อย่างละหนึ่งคนหรือมากกว่าเสมอ และผมคือคนที่คุมคันโยกบังคับ การดูแลให้ทีมงานทุกคนทำงานกันอย่างสอดคล้องในจังหวะแอ๊คชั่นที่รวดเร็วเป็นสิ่งที่ผมเรียกว่า “จังหวะการเต้น” ทีมงานทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องจำจังหวะแอ๊คชั่นให้ได้เพื่อจะได้เคลื่อนกล้องได้ถูกต้อง ซึ่งการจะทำอย่างนั้นได้ต้องเป็นทีมงานที่ทุ่มเทและร่วมงานกันมานานหลายปีจนเข้าขา”
ออกแบบฉากแอ๊คชั่น
การหาผู้กำกับคิวบู๊ให้ถูกใจราชาหนังกังฟูทั้งคู่ไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้อำนวยการสร้าง เคซี่ย์ ซิลเวอร์ บอกว่า “นักออกแบบคิวบู๊คนเดียวที่สามารถยืนอยู่ตรงกลางระหว่างดาราระดับบิ๊กสองคนนี้และสามารถส่งเสริมหนังได้ รวมถึงมีผลงานโดดเด่นและได้รับความเคารพจากทุกคนคือ หยวนวูปิง”
เจ๊ท ลี คือตัวตั้งตัวตีในการชวนหยวนวูปิงมาออกแบบคิวบู๊เรื่องนี้ “ทุกคนรู้ว่าวูปิงคือนักออกแบบคิวบู๊ที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศจีนและในโลก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงลุ้นสุดตัวให่ได้ร่วมงานกับเขาอีกในเรื่องนี้ ผมบอกผู้อำนวยการสร้างว่าต้องดึงวูปิงมาร่วมงานให้ได้ ผมเชื่อมั่นในตัวเขา เขากับทีมต้องให้งานที่ยอดเยี่ยมกับหนังเรื่องนี้แน่” วูปิงกับลีร่วมงานกันหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ล่าสุดคือภาพยนตร์กังฟูย้อนยุคเรื่อง Fearless
นอกจากผลงานภาพยนตร์จีนแล้ว หยวนวูปิงยังมีผลงานในฮอลลีวู้ดหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น The Matrix, Crouching Tiger, Hidden Dragon ของอั้งลี่ และ Kill Bill ของเควนติน ทาแรนติโน่ ทั้งหมดเป็นหนังที่วูปิงออกแบบคิวบู๊และโด่งดังไปทั่วโลก รวมทั้งทำรายได้ถล่มทลายบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ
อีกอย่างที่น่าสนใจคือ หยวนวูปิงเป็นคนกำกับเฉินหลงใน Drunken Master (ไอ้หนุ่มหมัดเมา) เมื่อปี 1978 และบทลู่หยานของเฉินหลงในเรื่องนี้ก็อิงมาจากไอ้หนุ่มหมัดเมาซึ่งบังเอิญเป็นบทที่พ่อของวูปิงเคยแสดง เฉินหลงและวูปิงรู้จักกันตั้งแต่สมัยเด็ก ทั้งคู่โตมาด้วยกันและเรียนโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้แห่งเดียวกัน แต่ไม่ได้ร่วมงานกันมานานกว่า 2 ทศวรรษ เพราะฉะนั้นทุกคนจึงจับตามองการกลับมาร่วมงานอีกครั้งของพวกเขาใน The Forbidden Kingdom
“สิ่งที่เราต้องการคือนักออกแบบคิวบู๊ที่ดีที่สุด เพราะเรามีราชานักบู๊สองคนนำแสดงในหนังเรื่องนี้ และเราไม่อยากทำให้ผู้ชมผิดหวัง เราอยากให้คิวบู๊ของพวกเขาดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมเองได้ยินมาจากเฉินหลงว่าเขาโตมากับวูปิงและร่วมงานกันบ่อยๆในสมัยแรกๆ เพราะฉะนั้นนี่ก็เลยเป็นเหมือนการกลับมาพบกันอีกครั้งของพวกเขา” ซิลเวอร์กล่าว
ก่อนการถ่ายทำ หยวนวูปิง, ซิลเวอร์, ร็อบ มินคอฟฟ์ และจอห์น ฟัสโก จะปรึกษากันเกี่ยวกับบทหนังและคุยรายละเอียดของเรื่องราวทั้งก่อนและหลังฉากแอ๊คชั่นแต่ละฉาก โดยเน้นไปที่ตัวละครและการเล่าเรื่องในขอบเขตนั้น พวกเขาจะคุยกันอย่างกว้างขวางว่าเรื่องราวจะดำเนินไปทางไหน คิวบู๊หลายตอนเกิดขึ้นในฉากหลังหลากหลาย
การออกแบบท่าเต้นสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินไปในรูปแบบเดียวกับภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้เอเชียเรื่องอื่น แต่ไม่เหมือนภาพยนตร์แอ๊คชั่นอเมริกันเรื่องไหน กล่าวคือใช้วิธีการทำงานแบบฮ่องกง คือทีมสตันท์จะอธิบายคิวบู๊แค่ 5 นาทีก่อนถ่ายทำจริง สำหรับนักแสดงที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนอาจต้องใช้เวลาปรับตัวสักระยะ
“ตอนแรกผมกังวลมากเพราะเราไม่มีโอกาสได้ซ้อมคิวบู๊อย่างเพียงพอ แต่พอถ่ายทำไปเรื่อยๆผมก็เริ่มชิน ผมปรับตัวเข้ากับฉากแอ๊คชั่นและความเร็วในการทำงานได้ดีขึ้น” ไมเคิล แอนการาโน่ กล่าว “คุณต้องมีสมาธิ คุณไม่รู้หรอกว่าจะต้องทำอะไร พวกเขาจะโชว์ให้ดูว่าต้องทำอะไร คุณดูแล้วก็ทำตาม และต้องทำได้เร็วด้วย”
หยวนวูปิงจะฟังเรื่องราวพื้นฐานและดัดแปลงด้วยไอเดียใหม่ซึ่งจะนำไปใช้ในวันถ่ายทำ ซึ่งเป็นวิธีที่ฮอลลีวู้ดไม่เคยทำ “แต่ละครั้ง วูปิงกับน้องชาย และทีมงานของเขาสองสามคนจะปรึกษากันเรื่องคิวบู๊ โดยคนหนึ่งจะออกความคิด แล้วอีกคนหนึ่งจะวิจารณ์ จากนั้นคนที่เหลือจะรับฟังและเสนอไอเดียอื่นๆ แต่สุดท้ายวูปิงจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะใช้ความคิดของใคร จากนั้นถึงจะเป็นการถ่ายทำ” มินคอฟฟ์ อธิบาย
“เมื่อกล้องเริ่มเดินและนักแสดงเคลื่อนที่ไปรอบๆ พวกเขาจะถ่ายทีละช็อต แล้วนำมาปะติดปะต่อกันเหมือนจิ๊กซอว์ มันเป็นวิธีการที่ไม่ธรรมดา เพราะบางครั้งพวกเขาก็เคลื่อนกล้อง 160 องศา ซึ่งทีมงานทุกคนต้องยกอุปกรณ์ไฟหนักๆตามกล้องจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งด้วยจังหวะที่ต้องพร้อมกัน เป็นการทำงานที่น่าทึ่ง”
เฉินหลงกล่าวว่าเขาไม่ค่อยกดดันเท่าไหร่ในการทำงานเรื่องนี้ และบอกเหตุผลว่า “ผมไม่ต้องกังวลเรื่องฉากแอ๊คชั้นใน The Forbidden Kingdom เท่าไหร่ ปกติเวลาแสดงหนังแอ๊คชั่น ผมต้องให้คำปรึกษาเรื่องฉากแอ๊คชั่น ต้องกำกับคิวบู๊ แถมบางครั้งต้องเป็นสตันท์แมนด้วย เช่นใน Rush Hour เมื่อไหร่ที่เข้าไปพักในรถเทรลเลอร์ ทีมงานจะวิทยุมาหาผมบอกว่าผู้กำกับถามหา ผมไม่ได้พักเลย ผมต้องฝึกภาษาอังกฤษ ต้องฝึกการต่อสู้ให้คนอื่น ต้องออกแบบคิวบู๊ แต่ในเรื่องนี้ ผมมีหยวนวูปิง ก็เลยสบาย ไม่ต้องกังวล เราเคยร่วมงานกันเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ในหนังอย่าง Snake Eagle Shadow และ Drunken Master”
เจ๊ท ลี ก็เห็นด้วยและอธิบายว่า “หนังอย่าง Fearless เป็นหนังที่ส่วนตัวมาก เพราะผมมีส่วนร่วมในการออกความคิดในทุกอย่างทั้งเรื่องราวและคิวบู๊ ผมจะเครียดหน่อยเพื่อให้หนังออกมาตามที่คิด แต่สำหรับ The Forbidden Kingdom ผมปล่อยให้เป็นหน้าที่ของวูปิงและทีม เพราะผมเชื่อในการทำงานของเขา ผมเชื่อว่าพวกเขาสามารถสนองความต้องการของหนังได้ เพราะฉะนั้น ผมจึงวางใจ”
สถานที่ถ่ายทำ
แม้ The Forbidden Kingdom จะถ่ายทำในสตูดิโอเหิงเตี่ยนเวิร์ลเสียส่วนใหญ่ แต่สำหรับฉากภายนอกหลายฉากก็ถ่ายทำที่โลเคชั่นน่าตื่นตาหลายแห่งในประเทศจีน เช่น ทะเลทรายโกบีในตุนหวง, แม่น้ำเก้ามังกร, น้ำตกที่เสียนจู้, ป่าที่หุบเขาวู่อี่, ค่ายไผ่ที่อันจื่อ และสวนพลัมในฟางหยาน
ผู้อำนวยการสร้าง เคซี่ย์ ซิลเวอร์ บอกว่า “หลังจากปรึกษากัน เราก็ตัดสินใจว่าเป็เรื่องสำคัญที่ถ้าทำหนังเกี่ยวกับประเทศจีน ก็ต้องให้ได้เห็นประเทศจีนจริงๆ และโชว์ให้คนดูเห็น หนังเรื่องเป็นอุปมาการเดินทางของฮีโร่คนหนึ่ง แต่ตัวละครทุกตัวต่างผ่านการเดินทางที่ลำบากกายแสนสาหัส และผมต้องการให้ผู้ที่มาชมหนังเรื่องนี้ได้สัมผัสถึงการผจญภัยของทีมงานผ่านภาพภูมิทัศน์ของประเทศจีนด้วย ซึ่งตรงนี้เราได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลจีนเป็นอย่างดี”
หลังการเดินทางสำรวจพื้นที่ ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ราฟาเอลล่า เดอ ลอว์เรนติส และผู้ออกแบบงานสร้าง บิล เบรสกี้ ก็ได้สถานที่ถ่ายทำที่สำคัญต่ออารมณ์ของหนัง “เราต้องการยกประเทศจีนทั้งประเทศให้มาอยู่ในสถานที่ถ่ายทำเหล่านี้ เพื่อที่ผู้ชมจะได้มีอารมณ์ร่วมกับกับการเดินทางที่ยาวนานและลำบากแสนเข็ญผ่านทะเลทราย, แม่น้ำ, ป่า, เขา รวมทั้งภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อมอื่นๆ อันตรายที่เกิดขึ้นที่เกิดขึ้นในที่เหล่านี้ช่วยขับเน้นความแข็งแกร่งของตัวละคร”
ทะเลทรายโกบี ซึ่งมีขนาดกว้างใหญ่กว่า 490,000 ตารางไมล์และเกิดพายุทรายบ่อยๆเป็นสถานที่แรกที่ทีมงานยกกองไปถ่ายทำ มันคือทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและเป็นสถานที่ที่โหดหินที่สุดสำหรับกองถ่ายด้วย
แอนการาโน่เล่าว่า “มันหลุดโลกมาก ที่อื่นเรายังรู้สึกเหมือนอยู่ในประเทศจีน แต่ที่ทะเลทรายโกบีผมรู้สึกเหมือนอยู่บนดาวอังคาร มันสวยนะ แต่ผมไม่คิดไม่ฝันมาก่อนในชีวิตว่าจะได้มาในที่แบบนี้ เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตผมเลยล่ะ”
สำหรับผู้กำกับภาพ ปีเตอร์เปา กลับมีความเห็นที่ต่างออกไป “เราเริ่มถ่ายทำที่ตุนหวงและวู่อี่ในสัปดาห์ทองซึ่งถือเป็นสัปดาห์หยุดยาวของจีน เหมือนฝันร้ายเพราะนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาจนคลาคล่ำ แถมที่นี่ถนนยังแคบ เคลื่อนย้ายหม้อแปลง, กล้อง และพวกอุปกรณ์ไฟยากมาก ผมต้องวางแผนล่วงหน้ากับทีมขนส่งเวลาจะขนอุปกรณ์ใส่รถบรรทุก แต่ก็ยังมีปัญหาระหว่างถ่ายทำอยู่ดี โชคดีที่อากาศไม่แย่เท่าไหร่”
หุบเขาวู่อี่ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ที่องค์การ UNESCO ยกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 1999 ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากฝึกกังฟูกลางน้ำตกสูง 400 ฟุตของแอนการาโน่ ซึ่งฉากนี้เป็นฉากที่สวยงามมากฉากหนึ่ง “ตอนอยู่ในฉาก ผมรู้สึกว่านี่คือประสบการณ์ล้ำค่าที่ไม่ค่อยมีใครได้มาสัมผัส ผมอยู่ในประเทศจีน 4 สัปดาห์ และได้นั่งบนหลังม้า, ได้อยู่กลางน้ำตก, ได้เข้าป่า ขึ้นเขาลงห้วย มันเป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าเชื่อ”
แม่น้ำเก้ามังกรที่ด้านหลังเป็นหุบเขาวู่อี่อันสูงตระหง่านมองดูงดงามราวภาพวาดจิตรกรจีน สถานที่แห่งนี้ใช้ถ่ายทำฉากที่ตัวละครทั้งสี่เดินทางด้วยแพ เปาเสริมว่า “เสียนจู้เป็นสถานที่ที่มีกระแสน้ำและมีทิวไม้สวยงาม และเรายังได้ไปป่าไผ่ในอันจื่อซึ่งเป็นที่ที่ผมเคยมาถ่าย Crouching Tiger Hidden Dragon กับอั้งลี่ด้วย
ฉากแอ๊คชั่นกลายฉากเกิดขึ้นที่สวนลูกพลัมในฟางหยนาน ก่อนที่สุดท้ายทีมงานจะไปปักหลักถ่ายทำที่สตูดิโอเหิงเตี่ยน ที่ซึ่งพื้นที่กว่า 330 เฮคเตอร์ถูกเนรมิตเป็นวัดเก่า, บ้านเรือน, ทะเลสาป, โรงน้ำชา, สวน และแม้แต่เมืองต้องห้ามจำลอง รวมถึงบางส่วนของกำแพงเมืองจีน
ฉากหนึ่งที่ทีมงานใช้สถานที่จริงถ่ายทำก็คือฉากทหารเผาหมู่บ้าน มินคอฟฟ์เล่าว่า “ฉากนี้เป็นฉากที่ท้าทายที่สุดของเรา สถานที่อยู่ไม่ไกลจากเหิงเตี่ยน เราวางแผนว่าจะราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผามันจริงๆ เพราะฉะนั้นจึงถ่ายได้แค่เทคเดียวเท่านั้น เราก็เลยต้องระดมกล้องเท่าที่มี ตัวประกอบร้อยกว่าคน และกระท่อมทั้งหลายให้พร้อม ซึ่งไม่ค่อยมีใครทำแบบนี้กัน ในฮอลลีวู้ดเราคงทำแบบนี้ไม่ได้”
อากาศอันร้อนอบอ้าวในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมเป็นบททดสอบความอดทนของนักแสดง หลิวอี้เฟยบ่นว่า “ตอนที่ถ่ายทำในป่าพลัม อากาศร้อนมาก และฉันต้องใส่แจ๊คเก็ตหนัง ถือผีพาซึ่งไม่ใช่เบาๆ ถืออาวุธ แถมยังต้องสู้กับผม่ทัพหยกด้วย” อุณหภูมิสูงสุดระหว่างถ่ายทำที่นี่คือ 42 องศสเซลเซียส
ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ราฟาเอลล่า เดอ ลอว์เรนติส กล่าวสรุปความรู้สึกของทีมงานทุกคนว่า “การถ่ายทำในเหิงเตี่ยนคือการผจญภัย ทีมงานทำงานกันหนักมาก และมันเป็นการถ่ายทำที่ดีที่สุดในชีวิตฉันเลย”

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ