หากบุตรหลานของท่านมีอาการเหม่อ กล้ามเนื้อกระตุก หมดสติ หรือมีพฤติกรรมแปลก ๆ เช่น หัวเราะโดยไม่มีเหตุผล กลัวโดยอธิบายไม่ได้ว่ากลัวอะไร ให้สงสัยไว้ก่อนว่าบุตรหลานของท่านอาจมีอาการของโรคลมชัก ที่สามารถพบได้ในเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี และกว่าครึ่งไม่สามารถทราบสาเหตุได้
โรคลมชักเป็นโรคทางระบบประสาทที่พบได้บ่อย สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในเด็ก โดยทั่วโลกมีเด็กที่เป็นโรคลมชักกว่า 3.5 ล้านคนต่อปี ผู้ป่วยร้อยละ 40 เป็นผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี เมื่อคิดตามสัดส่วนประชากรจะพบว่า การเกิดโรคลมชักในเด็กจะอยู่ระหว่าง 3.5 - 7.2 ต่อประชากร 1,000 คน จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลยอย่างเด็ดขาด
พญ.สุชาวดี หอสุวรรณ กุมารแพทย์ ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า โรคลมชักจะมีทั้งแบบที่ชักเกร็งทั้งตัวและลมชักแบบที่เหม่อลอย เกิดจากคลื่นไฟฟ้าในสมองทำงานผิดปกติ นับเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและครอบครัวเป็นอย่างมาก ทั้งต่อพัฒนาการ การเลี้ยงดู การเข้าสังคม รวมถึงการเรียน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง และรักษาอย่างทันท่วงที โดยสาเหตุของโรคลมชักสามารถเกิดได้จากภาวะต่าง ๆ ได้แก่ ความผิดปกติทางพันธุกรรม ความผิดปกติในโครงสร้างของสมอง การสร้างเนื้อสมองที่มีความผิดปกติ รวมถึงเส้นเลือด เช่น AVMs และเนื้องอกในสมอง ความผิดปกติหรือภาวะแทรกซ้อนก่อนคลอด ระหว่างคลอด รวมทั้งหลังคลอด เช่น การขาดออกซิเจนระหว่างคลอด การติดเชื้อในสมอง โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune disease) และ ไม่สามารถทราบสาเหตุได้ ซึ่งพบประมาณเกือบครึ่งนึงของผู้ป่วยทั้งหมด
อาการลมชักที่เกิดจะมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับกระแสประสาทในสมองที่ผิดปกติเกิดที่ส่วนไหนของสมอง ผู้ป่วยอาจจะมีอาการ สับสน เหม่อ กล้ามเนื้อกระตุก หมดสติ หรือมีพฤติกรรมแปลก ๆ เช่น หัวเราะโดยไม่มีเหตุผล กลัวโดยอธิบายไม่ได้ ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ที่มีความชำนาญ รวมทั้งการส่งตรวจเพิ่มเติมอย่างเหมาะสม โดยการตรวจวินิจฉัยโรคลมชักจะขึ้นอยู่กับอาการเป็นหลัก แพทย์จะทำการซักประวัติอย่างละเอียดและใช้เครื่องมือที่ทันสมัยเพื่อช่วยตรวจหาความผิดปกติ เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) มีห้องที่สามารถ Monitor คลื่นไฟฟ้าสมองเพื่อตรวจหาจุดกำเนิดของคลื่นไฟฟ้าที่ก่อให้เกิดอาการชักพร้อมวิดีทัศน์ (24 - Hour Video EEG Monitoring) การตรวจทางรังสี ได้แก่ การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) การตรวจโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) และ การตรวจหาจุดกำเนิดของคลื่นไฟฟ้าที่ก่อให้เกิดอาการชักทางรังสีด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น PET CT, SPECT, Interictal SPECT, Ictal SPECT และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด, การตรวจสารพันธุกรรมที่อาจเป็นสาเหตุของโรคลมชัก ฯลฯ
ในส่วนของการรักษาหลัก ๆ ของโรคลมชักจะมี 2 แบบคือ การรักษาโดยใช้ยากันชัก โดยการให้ทานยาเป็นหลัก และการรักษาโดยวิธีอื่น เช่น ทานอาหารคีโต ที่แพทย์เฉพาะทางด้านโภชนาการเป็นผู้จัดให้สำหรับผู้ป่วยเด็ก หรือการผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นการฝังเครื่องกระตุ้นเส้นประสาทเวกัส (Vagus Nerve Stimulation: VNS) เพื่อรักษาโรคลมชัก หรือการผ่าตัดสมอง รวมถึงการรักษาโรคร่วมที่พบอย่างอื่นด้วย เช่น การกระตุ้นพัฒนาการในเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า เป็นต้น
โดยลมชักในเด็กเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองไม่ควรละเลย เพราะสามารถเกิดขึ้นโดยที่เด็กไม่รู้ตัว การสังเกตอาการของเด็กและรีบทำการรักษาในโรงพยาบาลที่มีความพร้อมของกุมารแพทย์และทีมแพทย์ที่มีความชำนาญ พร้อมด้วยเครื่องมือทันสมัย มีห้องสำหรับ Monitor คลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG Monitoring Unit) ที่สามารถดูแลและตรวจรักษาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ย่อมช่วยให้เด็กไม่ต้องทรมานจากลมชักและลดความรุนแรงของโรคได้ในระยะยาว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์โรคลมชัก ระบบประสาท สมองเด็ก รพ.กรุงเทพ โทร.02-310-3006 หรือ แอดไลน์ https://bit.ly/3juXi4i