ธนาคารทิสโก้แนะลูกค้า 'ขาย' หุ้นยุโรปยกพอร์ต หลังเศรษฐกิจจ่อเข้าภาวะถดถอย ปมร้อนสงครามยืดเยื้อ บริหารพลังงานส่อวุ่น พร้อมยกเลิก QE เร่งขึ้นดอกเบี้ย ชี้ทางรอดโยกเงินหนี 'ซื้อ' หุ้นเมกะเทรนด์จีน 4 กลุ่ม รับปัจจัยบวกมาตรการรัฐฯ หนุนรายได้โต ขณะที่เศรษฐกิจจีนยังโตเด่น รัฐเดินหน้าผลักเศรษฐกิจแตะ 5.5% ในปีนี้
นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่ธนาคารทิสโก้แนะนำหุ้นเมกะเทรนด์กลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต และนวัตกรรมการแพทย์ ที่คาดว่ามีโอกาสเติบโต 15 - 27% ต่อปี ในช่วง 5 ปีข้างหน้า* ช่วยฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจชะลอและดอกเบี้ยขาขึ้น แต่ยังพบว่ามีนักลงทุนหลายท่านต้องการการลงทุนในรายประเทศ และส่วนใหญ่ยังคงมี 'หุ้นยุโรป' อยู่ในพอร์ตการลงทุน ขณะที่ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ 'ขาย' หุ้นยุโรปมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะประเมินว่ายุโรปมีโอกาสที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเร็วกว่าภูมิภาคอื่น
โดยปัจจัยที่ทำให้ธนาคารทิสโก้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยุโรปจะเข้าสู่ภาวะถดถอยมากกว่าภูมิภาคอื่น มาจาก 3 ปัจจัย คือ 1. ปัญหาการคว่ำบาตรด้านพลังงานโดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย ทำให้ภาคการผลิตหยุดชะงัก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมาก ทำให้เกิดปัญหาสินค้าขาดแคลน (Supply Shortage) ซึ่งกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในระยะยาว 2. ตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่หดตัวท่ามกลางราคาสินค้าที่พุ่งขึ้นต่อเนื่อง ตามอัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมที่เพิ่มขึ้น 8.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ระดับดังกล่าวถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
และ 3. การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยในวันที่ 9 มิถุนายนนี้คาดการณ์ว่า ECB จะออกประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อใหม่ และอาจประกาศยุติการทำ QE เปิดทางไปสู่การขึ้นดอกเบี้ย โดยคาดว่า ECB จะปรับขึ้นครั้งละ 0.25% ในการประชุมเดือนกรกฎาคม กันยายน และธันวาคม ทำให้สิ้นปีอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นไปอยู่ที่ 0.25% จากปัจจุบันอยู่ที่ -0.50%
ทั้งนี้ หากนักลงทุนต้องการโฟกัสการลงทุนไปยังรายประเทศ ธนาคารทิสโก้มองว่า ตลาดหุ้นจีน คือดาวเด่นของการลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากมองว่าราคาน่าจะลงมาใกล้จุดต่ำสุด เพราะรับรู้ประเด็นลบจากปัจจัยกดดันทั้งจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศไปหมดแล้ว อีกทั้งเริ่มเห็นสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายจากทางการจีนมากขึ้น เช่น การคลาย Lockdown เมืองเซี่ยงไฮ้ที่ปลดล็อกอย่างเต็มรูปแบบ และการผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศและผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อทำให้เศรษฐกิจจีนโตในระดับ 5.5% ในปี 2565
นอกจากนี้ ธนาคารทิสโก้จึงมองว่า ในช่วงนี้เป็นจังหวะที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้น 'เมกะเทรนด์ของจีน' ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาว หลังจากราคาหุ้นกลุ่มนี้ย้อนหลัง 1 ปี ปรับตัวลงมาราว 40% และยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนเชิงนโยบายจากทางภาครัฐจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 ซึ่งบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2564 - 2568 โดยมี 4 ธีมเมกะเทรนด์ของหุ้นจีนที่น่าสนใจในการลงทุนระยะยาว ดังนี้