'บมจ. สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์' หรือ STP หุ้น Packaging น้องใหม่ พร้อมเทรดวันแรกในตลาด mai 14 มิ.ย.นี้ หลังนักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO คึกคัก เงินระดมทุนใช้ขยายกำลังการผลิต รับดีมานด์ทะลัก หนุนความสามารถการทำกำไรแข็งแกร่งต่อเนื่อง ด้านโบรกฯ เคาะราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 24.25 บาท/หุ้น
นายสุรนัย โรจน์วงศ์จรัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สหไทยการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือ STP ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจการพิมพ์บรรจุภัณฑ์กระดาษและสิ่งพิมพ์ทุกชนิด เปิดเผยว่า STP พร้อมนำหลักทรัพย์เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก ในวันที่ 14 มิถุนายน 2565 โดยใช้ชื่อย่อหุ้น 'STP' ในการซื้อขายหลักทรัพย์ และเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินงาน ที่มีพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง ในฐานะผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษสำหรับอาหารคนและสัตว์เลี้ยง เครื่องดื่ม และบรรจุภัณฑ์ทั่วไปด้วยระบบพิมพ์ออฟเซ็ท (Offset Printing) มีสัดส่วนรายได้ 91% ของรายได้รวมในปี 2564 มาจากลูกค้าในอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งรายได้จากลูกค้ากลุ่มนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมวางกลยุทธ์การขยายโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องพิมพ์และขยายกำลังการผลิตที่เน้นการผลิตสินค้าบรรจุภัณฑ์อาหารที่สามารถสัมผัสอาหารโดยตรง (Direct food contact) เปิดช่องทางการขยายฐานลูกค้าใหม่ และสนับสนุนการใช้กำลังการผลิตที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะนำมาใช้ขยายโรงงาน ลงทุนเครื่องจักร เพื่อปลดล็อกกำลังการผลิต รองรับแผนการดำเนินงานที่วางไว้ ซึ่งจะช่วยยกระดับฐานรายได้ให้เติบโตในอนาคต
นางสาวสุวิมล ศรีโสภาจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า STP มีจุดเด่นการลงทุน จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง มีรายได้รวมเติบโตกว่า 23% CAGR จาก 383 ล้านบาทในปี 2562 สู่ระดับ 580 ล้านบาทในปี 2564 ด้วยการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ สะท้อนจาก STP มีกำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นเป็นผลจาก Economy of scale อัตรากำไรขั้นต้น 38% ปี 2564 เทียบเคียงได้กับอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษที่มีค่าเฉลี่ยที่ 22% นอกจากนี้ กำไรสุทธิเติบโตกว่า 43% CAGR จาก 59 ล้านบาทในปี 2562 สู่ระดับ 124 ล้านบาทในปี 2564
นอกจากนี้ ฐานลูกค้าของ STP เป็นลูกค้ารายใหญ่มีฐานะการเงินที่มั่นคง และเป็นลูกค้าของ STP มากกว่า 10 ปี ซึ่งมีโอกาสในการเติบโตสูงเนื่องจากเป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำของเมืองไทย ประกอบกับกลยุทธ์ขยายไปยังตลาดใหม่ที่กำลังเติบโต ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินธุรกิจและโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน
นางยอดฤดี สันตติกุล กรรมการบริหาร หัวหน้าสายงานตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย กล่าวว่า การจองซื้อหุ้น IPO ในช่วงที่ผ่านมาของ STP ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม โดยนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไปแสดงความประสงค์จองซื้อมากกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรร จึงมั่นใจว่าเมื่อหลักทรัพย์ STP เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรก จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ด้านบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ที่ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ STP จำนวน 6 บริษัทหลักทรัพย์ ได้ประเมินราคาพื้นฐานของ STP อยู่ที่ 20.40 - 24.25 บาทต่อหุ้น โดยระบุว่า STP มีศักยภาพการเติบโตสูงจากการเป็นผู้ผลิตงานพิมพ์และบรรจุภัณฑ์คุณภาพพรีเมียม โดยการเติบโตของการซื้อขายรูปแบบ e-commerce และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ทำให้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์เติบโต ช่วยเพิ่มโอกาสให้ STP ในฐานะผู้รับพิมพ์บรรจุภัณฑ์กระดาษและสิ่งพิมพ์ทุกชนิด ให้บริการตั้งแต่พัฒนาออกแบบบรรจุภัณฑ์ ครอบคลุมไปจนถึงบริการหลังการพิมพ์ต่างๆ เช่น การเคลือบยูวี การปั้มฟอยล์ทอง การปั๊มฟอยล์เงิน การประกบลูกฟูก และการไดคัท STP พร้อมเข้าระดมทุนในตลาด mai เพื่อนำเงินไปสร้างอาคารโรงงานและขยายกำลังการผลิต ผลักดันกำไรปี 2565 - 2567 เติบโตเฉลี่ยปีละ 9.4%
STP เป็นผู้ผลิตและให้บริการรับพิมพ์กระดาษและสิ่งพิมพ์ มีผลิตภัณฑ์หลัก 2 ประเภท ได้แก่ กล่องกระดาษออฟเซ็ทแบบประกบฟูกและแบบไม่ประกบฟูก โดยให้บริการตั้งแต่การพัฒนาและออกแบบบรรจุภัณฑ์ การจัดทำเพลทที่มีคุณภาพสูง การพิมพ์งานสูงสุดสี พร้อมกับมีบริการหลังพิมพ์ต่างๆ เช่น การเคลือบยูวี การปั๊มฟอยล์ทอง การปั๊มฟอยล์เงิน การประกบลูกฟูก การไดคัทระดมทุน IPO เพื่อสร้างโรงงานและเพิ่มกำลังการผลิตจากปัจจุบัน 49.7 ล้านแผ่นพิมพ์ต่อปี เป็น 74.55 ล้านแผ่นพิมพ์ต่อปี ภายในปี 2566 คิดเป็นกำลังการผลิตส่วนเพิ่ม 50% เงินส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ภายใต้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ช่วยหนุนกำไรปี 2565-67 เติบโตเฉลี่ยปีละ 9.4% และมีศักยภาพการจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่องตามนโยบายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ