กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท ("WHART") ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อย พร้อมเตรียมออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์ใหม่ครั้งที่ 7 เพื่อลงทุนทรัพย์สินเพิ่มเติมครั้งที่ 8 ในสิทธิการเช่าและสิทธิการเช่าช่วงของอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินอื่นของดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำนวน 5 โครงการ มูลค่าไม่เกิน 4,050.86 ล้านบาท ดันมูลค่าทรัพย์สินรวม แตะ 52,406.83 ล้านบาท ปักหมุดทรัพย์สินบนจุดยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ของประเทศ ตอกย้ำการเป็นหนึ่งในผู้นำกองทรัสต์ Industrial ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
นายอนุวัฒน์ จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ เรียล เอสเตท แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า ดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท ("กองทรัสต์ WHART") เปิดเผยว่า กองทรัสต์ WHART ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อย เพื่อออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์ใหม่ครั้งที่ 7 จำนวนไม่เกิน 245 ล้านหน่วย เพื่อลงทุนทรัพย์สินเพิ่มเติมครั้งที่ 8 ในอสังหาริมทรัพย์สิทธิการเช่าและสิทธิการเช่าช่วงของอสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินอื่นที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 4,050.86 ล้านบาท
สำหรับทรัพย์สินที่กองทรัสต์ WHART จะเข้าลงทุนในครั้งนี้ ประกอบด้วยการลงทุนในทรัพย์สินของบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ("WHA"), บริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ("WHAVH"), บริษัท เซ็นทรัล ดับบลิวเอชเออะไลแอนซ์ จำกัด ("Central WHA Alliance") และบริษัท ดับบลิวเอชเอ เคพีเอ็น อะไลแอนซ์ จำกัด ("WHA KPN Alliance") ซึ่งมีความโดดเด่นด้านทำเลศักยภาพที่เป็นจุดเชื่อมต่อด้านการขนส่งสินค้าในประเทศไทยอยู่ใกล้กรุงเทพและพื้นที่ EEC สามารถเชื่อมต่อทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ ท่าเรือแหลมฉบัง ถนนสายหลักไปยังพื้นที่ EEC ได้สะดวก โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการคลังสินค้าและโรงงานประเภท Built-to-Suit มีสัญญาเช่าเฉลี่ยจากผู้เช่าชั้นนำระยะยาว จำนวน 5 โครงการ ประกอบด้วย
สำหรับเนื้อที่ดินรวมทั้ง 5 โครงการ จำนวน 164 ไร่ 2 งาน 87.25 ตารางวา มีพื้นที่เช่าอาคารรวมทั้งหมด 159,963 ตารางเมตร โดยผู้เช่าหลักปัจจุบันคือ บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด, บริษัท เคอรี่ โลจิสติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด ภายหลังจากการลงทุนเพิ่มในครั้งนี้ จะส่งผลให้ กองทรัสต์ WHART มีการลงทุนในกรรมสิทธิ์ สิทธิการเช่าและสิทธิการเช่าช่วงอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้นเป็น 39 โครงการ จากทรัพย์สิน ณ ปัจจุบันจำนวน 34 โครงการ
ผู้จัดการกองทรัสต์ WHART กล่าวเพิ่มเติมว่า ทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการประเภท Built-to-Suit ที่มีสัญญาระยะยาว โดยกลุ่มผู้เช่าที่มีศักยภาพในกลุ่มธุรกิจที่เติบโต ซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 56 ของพื้นที่เช่าอาคารทั้งหมด ภายหลังการเข้าลงทุน กองทรัสต์จะมีผู้เช่ากลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มผู้ให้บริการโลจิสติกส์ (3PLs) ในสัดส่วนร้อยละ 39 ของพื้นที่เช่าที่มีผู้เช่า กลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ในสัดส่วนร้อยละ 22 ของพื้นที่ให้เช่าที่มีผู้เช่า และกลุ่มการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) ในสัดส่วนร้อยละ 15 ของพื้นที่เช่าที่มีผู้เช่า โดยกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความมั่นคงและมีผลการดำเนินงานที่ดีในช่วงการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิด 19 ซึ่งจะก่อให้เกิดความมั่นคงต่อรายได้ของกองทรัสต์ WHART นอกจากนี้ภายหลังการเข้าลงทุนยังช่วยเพิ่มความหลากหลายของธุรกิจผู้เช่า ทำให้ลดการกระจุกตัวของความเสี่ยงในกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง จึงเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงด้านรายได้ให้กับกองทรัสต์ WHART
นอกจากนี้ กองทรัสต์ WHART ได้ประมาณการการจ่ายประโยชน์ตอบแทนต่อหน่วยแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ภายหลังการลงทุนในทรัพย์สินหลักเพิ่มเติมครั้งที่ 8 เท่ากับ 0.80 บาทต่อหน่วย สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2566 เพิ่มขึ้นจากประมาณการจ่ายประโยชน์ตอบแทนจากทรัพย์สินเดิมของกองทรัสต์ WHART สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีเดียวกัน ซึ่งเท่ากับ 0.78 บาทต่อหน่วย
ภายหลังจากการลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้แล้วเสร็จ จะส่งผลให้ กองทรัสต์ WHART มีมูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์ แตะที่ระดับกว่าประมาณ 52,406.83 ล้านบาท และมีพื้นที่เช่าภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 1,743,681.80 ตารางเมตร พื้นที่ส่วนที่จอดรถ 32,650.19 ตารางเมตร และพื้นที่เช่าหลังคา 450,777.29 ตารางเมตร ซึ่งทำให้กองทรัสต์ WHART เป็นหนึ่งในกองทรัสต์ Industrial ที่ใหญ่ที่สุดในไทย โดดเด่นด้วยทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ของประเทศ และความหลากหลายของกลุ่มผู้เช่าเพิ่มขึ้น มีสัญญาเช่าระยะยาว อีกทั้งยังมีผลการดำเงินงานในระดับที่ดีและอัตราเช่าเฉลี่ยในระดับที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 มาโดยตลอด
"การเพิ่มทุนครั้งนี้ จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับผู้ถือหน่วยทรัสต์อย่างมีเสถียรภาพ เนื่องจากสัญญาเช่าส่วนใหญ่เป็นสัญญาระยะยาว อีกทั้ง profile ของผู้เช่าพื้นที่ของกองทรัสต์ เป็นผู้เช่าระดับชั้นนำอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่เติบโต และเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมของผู้เช่าปัจจุบันของกองทรัสต์แล้ว จะทำให้กองทรัสต์มีผู้เช่าที่มาจากหลากหลายทางธุรกิจมากขึ้น ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงที่เกิดจากการกระจุกตัวของอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งได้เป็นอย่างดี" นายอนุวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย