กรุงเทพฯ--21 มี.ค.--กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
นายธนัท สุวัธนเมธากุล ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร แถลงข่าวกรมศุลกากรจับกุมน้ำมันเขียวลักลอบเข้ามาใช้หรือจำหน่ายในราชอาณาจักร ณ บริเวณปากคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท
ตามที่กรมศุลกากรได้เร่งรัดปราบปรามสินค้าหนีศุลกากร สินค้าละเมิดสิทธิ์ทรัพย์สิน ทางปัญญา สินค้าที่เป็นอันตรายต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ กรมศุลกากรยังได้กำชับเจ้าหน้าที่ ให้เข้มงวดกวดขันในเรื่องการปราบปรามน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลักลอบนำเข้าทางทะเล และด่านชายแดนต่างๆ เนื่องจากปัจจุบันน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาจำหน่ายในประเทศค่อนข้างสูง อันเป็นมูลเหตุจูงใจด้านราคาให้กับผู้กระทำความผิดด้วยการลักลอบนำเข้ามาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร ดังนั้น เพื่อความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี การปกป้องสังคม และคุ้มครองผู้ประกอบการตลอดจนประชาชนที่สุจริต นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมศุลกากร จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการวางแผนจับกุมผู้กระทำผิด
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2551 เวลา 20.00 น. ส่วนสืบสวนปราบปราม 2 สำนักสืบสวนและปราบปราม ได้ตรวจค้นเรืออวนลากขนาด 8 วา ชื่อ รุ่งเรืองทอง ณ บริเวณปากคลองคลองด่าน ต.บางบ่อ อ.คลองด่าน จ.สมุทรปราการ พบว่าได้มีการดัดแปลงเป็นเรือบรรทุกลักลอบขนถ่ายน้ำมันเขียว(น้ำมันในโครงการช่วยเหลือชาวประมงในเขตต่อเนื่อง) โดยบรรจุอยู่ในถังพลาสติกขนาดต่าง ๆ ตั้งอยู่ในระวางเรือประมาณ 10,000 ลิตร โดยมีนายบรรพรต สุวรรณรัตน์ เป็นผู้ควบคุมเรือ นายชะโอด จ้อยมาก และนายมานิตย์ สุวรรณรัตน์ เป็นลูกเรือ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ฯได้ตรวจสอบเอกสารในเรือลำดังกล่าว พบว่าได้เติมน้ำมันเขียวจากเรือมหาชัยมารีน2 ซึ่งลอยลำจำหน่ายน้ำมันเขียวอยู่ ณ บริเวณเขตต่อเนื่อง ในทะเล ระหว่างจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กับจังหวัดชลบุรี ห่างจากเกาะสัตกูด 63 กิโลเมตร และห่างจากเกาะจวง 49 กิโลเมตร ซึ่งน้ำมันดังกล่าวอนุญาตให้ใช้ได้ในเขตต่อเนื่องเท่านั้น
เจ้าหน้าที่ฯจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า นำหรือพาของที่ยังไม่ได้เสียภาษี ของต้องห้าม ต้องกำกัด เข้ามาในราชอาณาจักร เป็นความผิดตามมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 ประกอบมาตรา 16,17 พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับ 9) พ.ศ.2482 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง และได้ยึดของกลาง ซึ่งได้แก่ เรือและน้ำมัน (รวมมูลค่าประมาณ 1 ล้านบาท) พร้อมผู้ต้องหาส่งกรมศุลกากรเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป