"ทีวีดี โฮลดิ้งส์" รุกปรับโครงสร้างธุรกิจภายในต่อเนื่อง ตั้งบริษัทใหม่ "เอ็กซ์เพรสโซ่" ขยายธุรกิจรับจัดส่งสินค้าแบบออนดีมานด์เต็มตัว เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าพรีเมียม มุ่งนำเสนอโซลูชั่นเซอร์วิสแก้ Pain Points แก่ลูกค้า
บมจ.ทีวีดี โฮลดิ้งส์ (TVDH) รุกปรับโครงสร้างธุรกิจภายในต่อเนื่องเพื่อเป็นซูเปอร์ โฮลดิ้ง คัมปานี ตั้งบริษัทใหม่
"เอ็กซ์เพรสโซ่" ยกระดับจากเดิมที่เป็นกลุ่มธุรกิจเพื่อขยายบริการจัดส่งสินค้าแบบออนดีมานด์เต็มตัว ชูความแตกต่างจับกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมที่เน้นจัดส่งตรงเวลาและคุณภาพมากกว่าราคา นำเสนอโซลูชั่นเซอร์วิสช่วยลูกค้าแก้ไข Pain Points และบริการแบบ Premium Service - Luxury Delivery สำหรับสินค้าแบรนด์เนม รวมถึงให้ใช้แพลตฟอร์ม Live Commerce ฟรี วางแผนลงทุนขยาย Hub Service เพิ่มเป็นกว่า 30 แห่งภายในปีนี้ เพิ่มศักยภาพการให้บริการและกระจายสินค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TVDH เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างปรับโครงสร้างธุรกิจภายในเพื่อเป็นซูเปอร์ โฮลดิ้ง คัมปานี หลังจากได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ และอนุมัติการเปลี่ยนแปลงชื่อจากบริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) เป็น บริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เป็นที่เรียบร้อย ล่าสุดได้จัดตั้งบริษัท เอ็กซ์เพรสโซ่ จำกัด (Xpresso) มีทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท ถือหุ้นโดย TVDH 100% เพื่อขยายธุรกิจให้บริการจัดส่งสินค้าแบบออนดีมานด์อย่างเต็มตัว โดยการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งจะมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของกลุ่มบริษัทฯ ในอนาคต จากเดิมที่เป็นกลุ่มธุรกิจหนึ่งของบริษัท เอบีพีโอ จำกัด ในเครือ TVDH
"เรามองเห็นศักยภาพของ Xpresso และแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจให้บริการจัดส่งพัสดุที่มีความต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยคาดว่าตลาดรวมอีคอมเมิร์ซประเทศไทยในปีนี้จะมีมูลค่ารวมถึง 9 แสนล้านบาท เติบโตประมาณ 30% จากปีก่อน และถึงแม้เราเป็นบริษัทน้องใหม่ แต่มีระบบบริหารจัดการที่ดี มีโมเดลธุรกิจและบริการที่หลากหลายและแตกต่าง โดยได้ซื้อระบบและเสริมทีมงานจากกลุ่มบริษัทอัลฟ่าเพอร์เฟอร์มานซ์ (Alpha) ที่มีชื่อเสียงด้านการให้บริการจัดส่งพัสดุ จึงมั่นใจว่าจะแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นได้ และสามารถเพิ่มปริมาณสินค้าที่รับจัดส่งให้ถึงจุดที่เริ่มเห็นแนวโน้มทำกำไรได้ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า" นายทรงพล กล่าว
ทั้งนี้ Xpresso มี 4 บริการหลัก ได้แก่ 1) บริการจัดส่งสินค้าแบบออนดีมานด์ โดยใช้เทคโนโลยีแอปพลิเคชันขับเคลื่อนการให้บริการแก่ลูกค้าที่ต้องการนัดหมายเวลาเข้ารับและส่งสินค้าล่วงหน้าได้ตั้งแต่เวลา 08.00 - 22.00 น. (แจ้งล่วงหน้า 3 ชั่วโมง) 2) บริการจัดส่งพัสดุแบบ Sameday และ Nextday 3) บริการคลังสินค้า Fulfillment (เก็บ แพ็ค ส่ง แบบครบวงจร) และ 4) บริการตัวแทนพิธีการศุลกากรเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า
จุดเด่นของ Xpresso คือการนำเสนอในรูปแบบ Solution Service ที่เป็นมากกว่าผู้ให้บริการจัดส่งสินค้า แต่พร้อมให้คำแนะนำและช่วยเหลือแก้ไข Pain Point ให้สามารถจัดส่งสินค้าถึงจุดหมายปลายทางได้ตรงตามกำหนดเวลา และมีบริการหลากหลายกว่าผู้ประกอบการรายอื่น อาทิ SMS แจ้งเตือนผู้รับสินค้าปลายทาง, บริการคืนสินค้า, ออกใบชำระเงินแก่ลูกค้า, โอนเงินบริการเก็บเงินปลายทาง (COD) แก่ผู้ส่งสินค้าภายใน 1 วัน จากปกติ 3 วัน ฯลฯ พร้อมทั้งมุ่งเน้นการควบคุมต้นทุนด้านบุคลากรให้สามารถแข่งขันได้ โดยมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่ง เช่น วอริกซ์ (Warrix) ผู้ผลิตเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาชั้นนำ, 945 Holding ผู้จำหน่ายสินค้าด้วยแอปพลิเคชันที่ใช้เทคโนโลยี AI เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีบริการแบบ Premium Service และ Luxury Delivery สำหรับสินค้าแบรนด์เนม โดยติดตั้งป้ายอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถอ่านค่าผ่านคลื่นวิทยุ (RFID Tag) เพื่อติดตามตรวจสอบและบันทึกข้อมูลสินค้า ลูกค้าสามารถทดลองและขอคืนสินค้าที่ไม่ต้องการแก่ร้านค้าได้ รวมถึงมีบริการอื่นๆ เช่น บริการแพ็กสินค้า, บริหารสต๊อก, คลังสินค้าส่วนตัว, ใช้งานระบบ Live Commerce ผ่าน Facebook IG และ Tiktok ฟรี ในกรณีที่ใช้บริการจัดส่งสินค้ากับบริษัทฯ, ประสานงานพิธีการศุลกากร เป็นต้น
นายธีระพงษ์ ลิ้มประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็กซ์เพรสโซ่ จำกัด ผู้ให้บริการจัดส่งสินค้าแบบออนดีมานด์ กล่าวว่า ทีมงานส่วนใหญ่ของบริษัทฯ มีประสบการณ์ให้บริการจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าของทีวี ไดเร็ค มากกว่า 20 ปี และได้นำมาต่อยอดและพัฒนาการให้บริการของเอ็กซ์เพรสโซ่ให้มีความหลากหลาย แตกต่างจากคู่แข่งและจัดส่งได้ตรงเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำแนวทางการบริหารงานแบบบริษัทสตาร์ตอัพเข้ามาปรับใช้ เน้นความคล่องตัวและการบริหารจัดการอย่างรวดเร็ว ตลอดจนการควบคุมต้นทุนให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ ปัจจุบันบริษัทฯ จับกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมเป็นหลัก ซึ่งเป็นกลุ่ม SMEs และผู้ประกอบการแบรนด์สินค้าชั้นนำ ที่ให้ความสำคัญกับการจัดส่งสินค้าตรงเวลาและบริการที่มีคุณภาพ มากกว่าตัดสินใจด้วยราคา โดยมีฐานลูกค้า อาทิ ผู้ประกอบธุรกิจจำหน่ายทรายแมว, ผู้ขายสินค้าในช่องทางอีคอมเมิร์ซ, ผู้ประกอบการเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ชั้นนำ เป็นต้น
บริษัทฯ วางแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยจะลงทุนขยาย Hub Service เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 30 สาขาภายในปีนี้ เพื่อเป็นศูนย์กลางการให้บริการและกระจายสินค้าในพื้นที่ต่างๆ เน้นกรุงเทพฯ และปริมณฑล อาทิ รังสิต คลอง 8,
ไทรน้อย, สายไหม ฯลฯ รวมถึงจะขยาย Hub Service ในพื้นที่ต่างจังหวัดต่อไปเพื่อขยายพื้นที่ให้บริการอย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น เพื่อก้าวขึ้นเป็น Top 10 ของผู้ให้บริการรับส่งสินค้าชั้นนำในประเทศไทย