บมจ.เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป (บริษัทฯ) หรือ ACOM ประเมินแนวโน้มธุรกิจให้บริการสนับสนุนอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce Enabler) อย่างครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ปัจจุบันภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบ แต่บริษัทฯ ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1 ปี 2565 บริษัทฯ มีการเติบโตของรายได้ ถึงร้อยละ 39.8 และมีฐานลูกค้าแบรนด์ที่ใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 57 ราย เป็น 171 ราย จากไตรมาส 1 ปี 2564 พร้อมวางแผนขยายธุรกิจเพื่อรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่องและความเป็นผู้นำตลาดในระดับภูมิภาค รวมถึงติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินช่วงเวลา IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เหมาะสม เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ และผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน
นายวีระพงษ์ (พอล) ศรีวรกุล ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ACOM เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกในปัจจุบัน ได้รับผลกระทบจากความผันผวนในเชิงมหภาค เช่น ราคาพลังงาน ภาวะอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มองว่าภาพรวมธุรกิจให้บริการสนับสนุนอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce Enabler) อย่างครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมมาเลือกซื้อสินค้าทางออนไลน์เพิ่มขึ้น หลังเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 มากว่า 2 ปี ส่งผลให้แบรนด์ต่างๆหันมาทำการตลาดออนไลน์แบบหลากหลายช่องทาง บริษัทฯ ได้วางแผนขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่องเพื่อคงความเป็นผู้นำการให้บริการสนับสนุนธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน โดยชูจุดแข็งที่มีบริการครบวงจรแบบ End-to-End ตั้งแต่ต้นจนจบและมีแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อขยายตลาดและเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจร ตลอดจนรักษาความเป็นผู้นำธุรกิจในระดับภูมิภาค ได้แก่ 1) มุ่งพัฒนาความสัมพันธ์ในฐานะพันธมิตรกับผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรระดับโลกของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มจำนวนแบรนด์ รายการสินค้าและการให้บริการแก่ลูกค้าแต่ละรายให้มีเครือข่ายครอบคลุมกว้างขวางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2) ลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการ ทั้งบริการจัดการคำสั่งซื้อที่ซับซ้อนหรือการเพิ่มขีดความสามารถด้านข้อมูล 3) ขยายฐานผู้ใช้บริการรายใหม่และกลุ่มสินค้าใหม่ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 4) พัฒนาผลิตภัณฑ์ EcommerceIQ SaaS ในด้านฟีเจอร์และเพิ่มความปลอดภัยในการรักษาข้อมูล เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น บนแพลตฟอร์มของบริษัทฯ ที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน และ 5) เข้าซื้อกิจการที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อขยายตลาดใหม่ เช่น ประเทศเวียดนามและการขยายธุรกิจในประเทศมาเลเซีย เป็นต้น
โดยในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าที่ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ณ สิ้นไตรมาส 1/2565 มีผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรรวม 171 ราย เป็นแบรนด์ระดับโลกอย่าง 3เอ็ม (3M) ควิกซิลเวอร์หรือบอร์ดไรเดอร์ส (Quicksilver หรือ Boardriders) เรกคิทท์ (Reckitt) ยูนิลีเวอร์ (Unilever) เป็นต้น โดยเพิ่มขึ้นกว่า 57 รายจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังมีผู้ใช้บริการผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์หรือบริการเสริมตามความต้องการของลูกค้า (Value Added Services) อีก 50 ราย รวมเป็น 221 ราย นอกจากนี้ จากข้อมูลของ Inter Brand พบว่า ในปัจจุบันบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการแก่กลุ่มผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรที่เป็นแบรนด์ระดับโลกที่มีมูลค่าสูงสุดถึง 13 แบรนด์จากลำดับ 100 แบรนด์แรกในปี 2564
บริษัทฯ ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ DKSH ซึ่งเป็นผู้กระจายสินค้าให้แก่แบรนด์รายใหญ่ของเอเชียแปซิฟิกที่มีแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอกว่าพันแบรนด์ โดย DKSH ได้โอนแบรนด์ที่ดำเนินธุรกิจออนไลน์แบบ B2C ให้แก่บริษัทฯ และหากแบรนด์อื่นๆในพอร์ตโฟลิโอต้องการขายสินค้าออนไลน์ บริษัทฯ จะได้สิทธิ์เพียงรายเดียว (Exclusive Right) ในการให้บริการสนับสนุนธุรกิจออนไลน์แบบ B2C ทั้งหมดในประเทศที่บริษัทฯ เข้าไปดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้บริษัทฯ มีแผนงานรุกขยายธุรกิจในเวียดนามซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เพื่อสนับสนุนแบรนด์ที่เป็นผู้ใช้บริการและแบรนด์ในกลุ่ม DKSH ขยายฐานลูกค้าอีกด้วย
ขณะที่ความคืบหน้าในการเข้าระดมทุน IPO นั้น ปัจจุบันบริษัทฯ ได้รับอนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ จากสำนักงาน ก.ล.ต. เรียบร้อยแล้ว และได้ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินช่วงเวลา IPO และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เหมาะสม เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ และผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน