มบส. เปิดบ้านต้อนรับนักศึกษาอาเซียน เพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ร่วมทำงานเครือข่าย ขณะที่นักศึกษาต่างชาติชื่นชอบอาหาร ศิลปะมวยไทย ความเป็นไทย และประทับใจมาตรการป้องกันโควิดดีที่สุด
ผศ.ดร.กุลสิรินทร์ อภิรัตน์วรเดช ผู้อำนวยการสำนักวิเทศสัมพันธ์และเครือข่ายอาเซียน มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (มบส.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 23 - 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา ทางสำนักวิเทศสัมพันธ์และเครือข่ายอาเซียน มบส. ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานโครงการเปิดค่ายเยาวชนอาเซียน ครั้งที่ 6 (The 6th ASEAN+3 Youth Camp ) โดยมีนักศึกษาและอาจารย์ผู้ติดตามจาก 8 ประเทศ เข้าร่วม 100 กว่าคน ดังนี้จากประเทศเกาหลีใต้ เวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐประชาชนจีน และไทย ซึ่งในงานผศ.ดร.ลินดา เกณฑ์มา อธิการบดี มบส. ได้มาร่วมงานด้วย พร้อมกล่าวชื่นชมโครงการดังกล่าวว่าเป็นกิจกรรมที่ดี เป็นการทำงานร่วมกันของเครือข่ายอย่างเข้มแข็ง และในอนาคตอยากให้มีกิจกรรมดีๆแบบนี้อีก เพราะนอกจากจะทำให้เกิดเครือข่ายที่ดีแล้วยังเป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยในวงกว้างด้วย
ผศ.ดร.กุลสิรินทร์ กล่าวต่อว่า การจัดงานดังกล่าวเพื่อให้บริการด้านวิชาการ พัฒนาความรู้และส่งเสริมทักษะภาษาต่างประเทศ สังคม ศิลปวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งการเผยแพร่ศิลปะและวัฒนธรรมในกลุ่มประเทศอาเซียน ตลอดจนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านวิชาการร่วมกันในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งในช่วงเข้าค่ายนักศึกษานานาชาติได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมการแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมที่น่าสนใจมากมาย ทั้งกิจกรรมการศึกษาวิถีชีวิตความเป็นไทย เช่น การดำนา การทำขนมไทย กิจกรรมการจัดนิทรรศการอาเซียน แสดงศิลปะนานาชาติของแต่ละประเทศ ณ โรงเรียนเครือข่ายในพื้นที่บริการจังหวัดสุพรรณบุรี ของ มบส. และยังมีกิจกรรมการเรียนรู้วัฒนธรรมไทย การแสดงนาฏศิลป์ไทย การทำอาหารไทย เช่น ผัดไทยกุ้งสด ขนมบัวลอย ซึ่งนักศึกษาต่างชาติต่างก็ติดใจรสชาติอาหารไทย นอกจากนี้ก็ชื่นชมศิลปะแม่ไม้มวยไทย และยังได้ทำยาดมจากสมุนไพรไทยด้วย
"โครงการนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการฯ ขณะที่นักศึกษาต่างชาติประทับใจมากในการต้อนรับด้วยความเป็นไทย และชื่นชมมากว่าการดูแลเรื่องความปลอดภัยของเราดีที่สุด โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทางสำนักวิเทศสัมพันธ์และเครือข่ายอาเซียนมีมาตรการป้องกันอย่างเข้มข้น ที่ผู้เข้าร่วมโครงการต้องผ่านการตรวจ ATKทุกคน และต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาในการร่วมโครงการ อย่างไรก็ตามโครงการนี้ถือว่าสร้างประสบการณ์การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านภาษาและวัฒนธรรมของนักศึกษาในกลุ่มประเทศอาเซียนร่วมกันได้เป็นอย่างดี "ผศ.ดร.กุลสิรินทร์ กล่าว.