เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) รายงาน 6 เดือนแรกปี 2565 กำไร 373.33 ล้านบาท เตรียมพร้อมเปิดใช้งาน แอป Maybank Invest รองรับความต้องการของนักลงทุนรุ่นใหม่ ยุคดิจิตอล
บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) รายงานผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในรอบครึ่งปีแรกของปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 373.33 ล้านบาท ลดลง 74.71 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 16.67 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานสำหรับครึ่งปีแรกของปี 2565 (ผลการดำเนินงานสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 373.33 ล้านบาท ลดลง 74.71 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 16.67 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 448.04 ล้านบาท
บริษัทฯ จึงใคร่ขอชี้แจงสาเหตุการเปลี่ยนแปลงสำคัญสำหรับผลการดำเนินงานงวดหกเดือน หรือครึ่งปีแรก 2565 ดังนี้ รายได้ค่านายหน้าลดลง 368.11 ล้านบาท จาก 1,339.14 ล้านบาท เหลือ 971.03 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 27.49 เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 372.49 ล้านบาท จาก 1,263.54 ล้านบาท เหลือ 891.05 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 29.48 อันเป็นผลจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ลดลงจาก 98,327.80 ล้านบาท/วัน เหลือ 87,341.78 ล้านบาท/วัน หรือลดลงร้อยละ 11.17 และสัดส่วนนักลงทุนบุคคลซึ่งเป็นส่วนรายได้หลักของบริษัทลดลงจากร้อยละ 48.12 เหลือร้อยละ 40.63 อันเป็นผลให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของนักลงทุนบุคคลลดลงจาก 47,317.71 ล้านบาท/วัน เหลือ 35,486.53 ล้านบาท/วัน หรือลดลงร้อยละ 25 ในขณะที่รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 4.38 ล้านบาท จาก 75.60 ล้านบาท เป็น 79.98 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.79 สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 27 ล้านบาท จาก 64.01 ล้านบาท เป็น 91.01 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 42.18 เนื่องมาจาก ค่าธรรมเนียมจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 19.15 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมการขายและการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น 10.55 ล้านบาท ในส่วนของค่าที่ปรึกษาทางการเงินลดลง 1.51 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมและบริการอื่นลดลง 1.19 ล้านบาท
โดยรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 111.56 ล้านบาท จาก 401.50 ล้านบาท เป็น 513.06 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.79 เนื่องมาจาก รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 53.67 ล้านบาท กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินเพิ่มขึ้น 47.58 ล้านบาท รายได้ดอกเบี้ยจากเงินฝากในสถาบันการเงินและพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้น 7.37 ล้านบาท และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 2.94 ล้านบาท อีกทั้ง ค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ ลดลง 136.85 ล้านบาท จาก 1,243.97 ล้านบาท เป็น 1,107.12 ล้านบาท หรือลดลง ร้อยละ 11 เนื่องมาจาก ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานลดลง 112.40 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายลดลง 26.32 ล้านบาท ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง 0.86 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นลดลง 11.94 ล้านบาท ในขณะที่ ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 14.67 ล้านบาท และภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง 17.98 ล้านบาท จาก 112.64 ล้านบาท เป็น 94.66 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 15.96 เนื่องมาจากการลดลงของกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้
"ผลประกอบการครึ่งปีแรก สอดคล้องกับสภาวะการตลาดในปัจจุบัน กระแสความไม่แน่นอนยังคงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทั้งตลาดหุ้นภายในประเทศและต่างประเทศ ภาพรวมการซื้อขายที่ปรับตัวลดลง สืบเนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 เงินเฟ้อทั่วโลก และความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน อย่างไรก็ตาม สำหรับโอกาสของการลงทุนในระยะสั้น ยังคงเป็นเรื่องการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์และในภูมิภาค ส่วนในระยะยาวการปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะกับสถานการณ์ บนพื้นฐานของความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวัง และสำหรับนักลงทุนมือใหม่ การตัดสินใจลงทุนสามารถทำได้ง่ายขึ้นผ่าน Goal Based Investment (GBI) ซึ่งเป็นฟีเจอร์หลักในแอปพลิเคชั่น Maybank Invest ใหม่ของเรา พร้อมจัดพอร์ตให้เติบโตด้วยสินทรัพย์การลงทุนที่หลากหลาย ด้วยการติดตามและปรัพอร์ตการลงทุน โดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจาก เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ผ่าน Maybank Invest App หรือ MBI ซึ่งพร้อมจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้" นายอารภัฏ กล่าวเพิ่มเติม