ไตรมาสสามปี 2565 ตลาดการเงินส่งสัญญาณปรับธีมการลงทุน จับตาปัจจัยเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ภายหลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ FED ครั้งล่าสุด ไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นและทองคำ แนะจับตาการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ค. วันที่ 10 ส.ค. ประกอบการตัดสินใจ ชู "ทองคำ-บิทคอยน์-หุ้น Defensive" สินทรัพย์ดาวเด่น เอาชนะเศรษฐกิจถดถอย
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นและทองคำ สามารถปรับตัวขึ้นได้ ภายหลังผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ FED ครั้งล่าสุด เมื่อวันพุธ (27 ก.ค. 65) ที่ผ่านมา มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% สู่ระดับ 2.25-2.50% บ่งบอกว่าตลาดเริ่มคาดการณ์และจับแนวทางการตัดสินใจของ FED ได้แล้ว และในช่วงที่ผ่านมาราคาตลาดหุ้นและทองคำ ได้ปรับตัวลงมาตอบรับกับการตัดสินใจของ FED ล่วงหน้าไปพอสมควร เช่นเดียวกัน ตลาดไม่มีการตอบสนองเชิงลบต่อการประกาศตัวเลขจีดีพีของสหรัฐฯ ที่ออกมาติดลบ 0.9% ซึ่งผิดจากที่ประเมินว่าจะเติบโต 0.5% ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค สะท้อนว่าตลาดได้คาดการณ์ล่วงหน้าแล้วว่าในที่สุดเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือ Recession ค่อนข้างแน่นอน
"ทั้งนี้ ทิศทางการลงทุนในไตรมาสสามของปีนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าตลาดจะเริ่มปรับธีมการลงทุนจากเดิมที่จะต้องจับตานโยบายการเงินของ FED เปลี่ยนมาเป็นจับตาภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าจะหลุดออกจาก Recession ได้หรือไม่ ถ้าหากการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ยังเป็นไปตามแผนที่ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ ก็จะไม่มีปัจจัยลบใหม่ออกมาเซอร์ไพรส์ตลาดอีก"
อย่างไรก็ดี ตลาดยังต้องจับตาการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคม ที่จะประกาศผลในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ หากตัวเลขเริ่มคงที่และไม่ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีและส่งผลบวกต่อราคาทองคำและบิทคอยน์ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวผันแปรกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ในทางตรงกันข้าม หากตัวเลขเงินเฟ้อยังคงปรับตัวสูงขึ้น ราคาทองคำและบิทคอยน์ อาจจะทรงตัว หรือ ปรับตัวลงเล็กน้อย เพราะอาจจะเกิดคาดการณ์ใหม่ว่า FED จะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าเดิมในการประชุมครั้งถัดไป
"ถ้าตัวเลขเงินเฟ้อเริ่มคงที่และเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย สินทรัพย์ที่น่าจะได้รับประโยชน์ คือ "ทองคำ" เพราะถ้าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มอ่อนค่าลง ซึ่งเริ่มเห็นดัชนี DXY ปรับตัวลงมาบ้างแล้ว ทองคำจะสามารถปรับตัวขึ้นได้จากความคาดหวังที่จะเป็นสินทรัพย์ที่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ และทองคำยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยน้อยมาก เช่นเดียวกัน "บิทคอยน์" จะได้ประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง แต่ต้องไม่มีปัจจัยลบใหม่ในตลาดคริปโตเกิดขึ้น"
ทั้งนี้ ในเชิงกราฟเทคนิค "ทองคำ" ลงมาทำจุดต่ำสุดของรอบนี้ ที่ระดับ 1,677 ดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว และมีการฟื้นตัวขึ้นได้ โดยหากไม่หลุดจากราคานี้และสามารถผ่านแนวต้านที่ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไปได้ ราคาทองคำน่าจะถึงจุดกลับตัวเป็นขาขึ้น ส่วน "บิทคอยน์" มีแนวรับที่ระดับ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และถ้าผ่านระดับ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไปได้ก็จะกลับมาเป็นขาขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มแวลู หรือ Defensive Play อาทิ หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค เฮลธ์แคร์ และอาหาร น่าจะเป็นอีกหนึ่งในสินทรัพย์ที่สามารถต้านทานกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ เพราะแม้ว่าเศรษฐกิจจะถดถอยแต่ความต้องการใช้สินค้าเหล่านี้ยังคงมีอยู่เช่นเดิม
สำหรับตลาดหุ้นไทยมองว่ากลุ่มโรงพยาบาล น่าจะเข้าเกณฑ์ของหุ้นกลุ่ม Defensive Play มากที่สุดจากแนวโน้มผลประกอบการที่สามารถเติบโตได้แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว ขณะที่กลุ่มท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัว ยังต้องจับตาดูว่าจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่
ส่วนสินทรัพย์ที่ต้องหลีกเลี่ยงหากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย คือกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะกลุ่มแร่โลหะ เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงจะส่งผลต่อความต้องการใช้สินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ ประกอบกับภาวะเงินเฟ้อที่หากถึงจุดสูงสุดไปแล้ว และภาวะสงครามในยูเครน ที่ไม่มีปัจจัยรุนแรงใหม่เกิดขึ้นอีก จะทำให้ตลาดไม่เกิดปัจจัยบวกใหม่ที่จะหนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ให้สามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ ดังนั้นแนะนำว่าให้ทยอยขายทำกำไร แม้ว่าเงินเฟ้อจะยังคงตัวในระดับสูง โดยโยกเงินลงทุนมาที่ "ทองคำ" น่าจะเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสมมากกว่า
"แนวโน้มตลาดการเงินในไตรมาสสามอาจจะเริ่มนิ่งขึ้นจากการที่ FED จะมีการประชุมอีกเพียงครั้งเดียวในเดือนกันยายน ยกเว้นแต่จะมีเหตุการณ์ขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสหรัฐฯ และจีน เกิดขึ้น หลังจากประธานสภาสหรัฐฯ ไปเยือนไต้หวัน"