กรุงเทพฯ--25 มี.ค.--ออนไลน์ แอสเซ็ท
บอร์ด SECC ลงมติเพิ่มทุน 463.82 ล้านหุ้น แบ่งส่วนแรก 409.59 ล้านหุ้น ขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมสัดส่วน 1 : 1 ที่ราคา 2 บาท/หุ้น ส่วนที่เหลือ 49.11 ล้านหุ้น รองรับการใช้สิทธิวอร์แรนต์เดิม และอีก 5.11 ล้านหุ้นรองรับการแปลงสภาพ ESOP ของกรรมการและพนักงาน "สมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์" เผยการเพิ่มทุนครั้งนี้เพื่อระดมทุนรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต โดยเฉพาะโครงการขนส่งและโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ของภาครัฐที่คาดว่าจะเดินหน้าได้ในเร็วๆ นี้ หลังราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นกดดันต่อเนื่อง รวมทั้งโครงการผุดโชว์รูมที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามแผนขยายธุรกิจเดิมที่วางไว้ เชื่อจะเห็นรายได้กลับเข้ามาชัดเจนตั้งแต่ปลายปีนี้
นายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ ประธานกรรมการ บริษัท เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ SECC กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการครั้งที่2/2551 เมื่อวันจันทร์ที่ 24 มีนาคม 2551 ว่าที่ประชุมมีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 520,000,000 บาท เป็น 983,818,573 บาท โดยออกหุ้นสามัญจำนวน 463,818,573 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท รวม 463,818,573 บาท โดยจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 409,593,550 หุ้น ในสัดส่วน 1 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคาหุ้นละ 2 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 1 (ในกรณีที่มีการปรับราคา การใช้สิทธิและอัตราการใช้ สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิ ครั้งที่ 1) จำนวน 49,114,000 หุ้น และรองรับใบสำคัญแสดงสิทธิเพื่อซื้อหุ้นสามัญที่แจกให้กับกรรมการและพนักงาน ( ESOP) (ในกรณีที่มีการปรับราคาการใช้สิทธิและอัตราการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิ) จำนวน 5,111,023 หุ้น โดยได้กำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2551 เพื่อพิจารณามติดังกล่าวของคณะกรรมการ ในวันศุกร์ที่ 25 เมษายน 2551 และหากผ่านขั้นตอนการพิจารณาของผู้ถือหุ้นคาดว่าจะสามารถเปิดจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้ระหว่างวันที่ 20 - 26 พ.ค. 2551
นายสมพงษ์ กล่าวอีกว่า การเพิ่มทุนในครั้งนี้ เป็นการระดมทุนครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียวเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต เนื่องจากพบว่าขณะนี้รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้ชะลอการลงทุนลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และ หากพิจารณาจากนโยบายของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่า หนึ่งในแผนการลงทุนของภาครัฐจะมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งและโลจิสติกส์ ขนาดใหญ่รวมอยู่ด้วย ซึ่งถือเป็นโครงการที่น่าสนใจและอยู่ในขอบข่ายที่บริษัทสามารถลงทุนได้ หากเห็นว่าเป็นโครงการที่ดีและมีแนวโน้มสร้างรายได้ที่ชัดเจนในอนาคต ดังนั้น จึงได้เตรียมความพร้อมของเม็ดเงินที่จะใช้ในการลงทุนไว้เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสทางธุรกิจ
"การเพิ่มทุนครั้งนี้ถือเป็นการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจที่จะมาถึง หลังจากที่รัฐได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งโครงการเมกะโปรเจ็กลงสู่ตลาด ซึ่งในส่วนของ SECC ก็คงสนใจจะเข้าลงทุนในทุกโครงการที่เห็นว่าเป็นผลดีต่อบริษัทฯ และมีแนวโน้มเติบโตดีในอนาคต ส่วนขอบข่ายก็คงอยู่ในธุรกิจยานยนต์ เพราะที่ผ่านมาถึงแม้ว่าเราจะเติบโตมาจากธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ระดับพรีเมี่ยม แต่เป้าหมายที่เราวางไว้ในอนาคตก็คือจะเป็นผู้ทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์พรีเมี่ยม รถยนต์ประหยัดพลังงาน และอาจจะรวมถึงรถยนต์โดยสาร ระบบขนส่งมวลชนที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าต่างๆ ที่จะเข้ามามีบทบาทในระบบขนส่งของไทยในอนาคต หลังจากที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก ทำให้รัฐบาลต้องเร่งหาโครงการขนส่งที่มีต้นทุนด้านพลังงานต่ำกว่าเข้ามาทดแทน ดังนั้นเชื่อว่าโครงการเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า เราจึงต้องเตรียมความพร้อมเรื่องเม็ดเงินไว้เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสทางธุรกิจที่จะมาถึง"
นอกจากนั้น การระดมทุนครั้งนี้ ยังถือเป็นการรองรับกับโครงการขยายธุรกิจเดิมของบริษัทที่มีอยู่แล้ว โดยขณะนี้บริษัทมีโครงการจะก่อสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ เพื่อเป็นโชว์รูมที่สามารถจอดรถเพื่อจำหน่ายได้กว่า 200 คัน และศูนย์บริการที่มีช่องซ่อมเป็นจำนวนถึง 100 ช่อง บนพื้นที่ 15 ไร่ ใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งจะถือเป็นโชว์รูมที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากพบว่ารายได้จากการให้บริการหลังการขายของบริษัทฯ ได้เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน และแนวโน้มธุรกิจจัดจำหน่ายรถยนต์จะเติบโตขึ้นต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งโชว์รูมดังกล่าวคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 3 ของปีนี้ และสามารถรับรู้รายได้ทันทีในปีเดียวกัน ซึ่งถือว่าการเพิ่มทุนในครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของ SECC ที่จะทำให้ธุรกิจเริ่มครบวงจร และเติบโตได้รวดเร็วขึ้นตามนโยบายที่วางไว้