คาดธปท. ปรับขึ้นดอกเบี้ย ... ส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ภาคครัวเรือนและธุรกิจต้องระวัง

ข่าวทั่วไป Wednesday June 8, 2005 13:38 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--8 มิ.ย.--ไทยธนาคาร
สำนักวิจัย ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) เผยแพร่บทวิเคราะห์แสดงความเห็นว่า
ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Monetary Policy Committee : MPC) ของธนาคาร
แห่งประเทศไทย (ธปท.) ในวันที่ 9 มิถุนายนที่จะถึงนี้ ทางเลือกในการตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงิน
ผ่านตัวแปรเครื่องมือ คือ อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน หรืออัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะ
ขึ้นอยู่กับน้ำหนักหรือการเปรียบเทียบระหว่างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้
คาดว่าที่ประชุมฯจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน จาก 2.25% เป็น 2.50%
โดยมีเป้าหมายการรักษาเสถียรภาพของระดับราคาและอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว ตลอดจนเพื่อรักษาส่วน
ต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยและต่างประเทศเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ธปท.ให้น้ำหนักเอนเอียงไป
ทางด้านเป้าหมายการขยายตัวของเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยนโยบายก็จะยังยืนอยู่ที่ระดับ 2.25% ต่อไป
ในขณะที่มองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย Fed Funds อีก 0.25%
ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee : FOMC)
ที่จะมีขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 29 — 30 มิถุนายน 2548 ทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มจาก 3.00% สู่ระดับ 3.25%
ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะมีขึ้น
ในวันที่ 9 มิถุนายน ซึ่งเป็นการประชุมก่อนการประชุมเฟดนั้น ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ที่ปรึกษาสำนักวิจัย
ธนาคารไทยธนาคาร มองว่า ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง ขณะที่แรง
กดดันจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเร่งตัวสูงขึ้น จะทำให้การดำเนินนโยบายการเงินมีความยากลำบากมากขึ้น
ทั้งการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และรักษาระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวใน
ระดับที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ยังมีความเห็นว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน มีแนวโน้มที่จะพิจารณา
ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน ซึ่งถือเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินของ
ธปท. อีก 0.25% มาอยู่ที่ 2.50% เพราะเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวกำลังประสบปัญหา
ได้แก่ 1) อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นเป็นลำดับ จาก 2.5% ในเดือนก.พ.มาอยู่ที่ 3.7% ในเดือน พ.ค.
ตามแรงกดดันของราคาน้ำมันที่ผันผวนและทรงตัวอยู่ในระดับสูง ราคาสินค้าเกษตรที่ขยับสูงขึ้นจากปัญหาภัยแล้ง
ตลอดจนการปรับขึ้นราคาสินค้าและค่าขนส่งสาธารณะ 2) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Rate of
Interest) ในปัจจุบันที่มีแนวโน้มติดลบมากขึ้นจากการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อ ทำให้ไม่จูงใจให้เกิดการออม
รวมทั้งจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้ของภาคครัวเรือน ซึ่งภาระหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือน ณ สิ้นปี 2547 อยู่ที่
104,571 บาท เมื่อเทียบกับ ปี 2545 ที่มีจำนวน 82,485 บาท และ 3) ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ย
นโยบายของสหรัฐฯและไทย ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 0.75% ถ้าหากคณะกรรมการฯไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายเดือนมิ.ย.แล้ว ส่วนต่างดังกล่าวจะเพิ่มเป็น
1.00% ประกอบกับดอลลาร์สหรัฐฯแข็งตัวขึ้นในระยะสั้นย่อมส่งผลต่อการไหลออกของเงินทุนระยะสั้น ขณะที่
การแสดงความเห็นล่าสุดของ อลัน กรีนสแปนว่า เงินหยวนจะมีการปรับค่าเร็วๆนี้จะไม่ส่งผลต่อค่าเงินบาท
หรือค่าเงินสกุลเอเชีย และไม่มีผลกดดันต่อจีนแต่อย่างใดเพราะทางการจีนแสดงความเห็นอย่างชัดเจนว่า
หากจะมีการดำเนินการปรับค่าเงินจะต้องมีการเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ก่อน
ดร. อนุสรณ์ วิเคราะห์ว่า หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 9 มิ.ย. นี้ จะแสดง
ถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และเป็นการส่งสัญญาณให้ภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจมีความระมัดระวังในการ
ใช้จ่ายและการลงทุน ตลอดจนช่วยส่งเสริมการออมในระบบให้เพิ่มสูงขึ้นรองรับการเพิ่มขึ้นของการลงทุน
โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจ็กต์ อย่างไรก็ตาม สามารถประเมินว่า มีความเป็นไปได้เช่นกันที่คณะกรรม
การฯอาจจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% ต่อไปเช่นการประชุมในรอบที่ผ่านมา หากคณะกรรม
การฯ ให้น้ำหนักกับความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งไตรมาสแรกของปีนี้มีอัตราการขยายตัว
เพียง 3.3% ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการจับจ่ายใช้สอยและการลงทุนภาค
เอกชน และการส่งออก ขณะที่ในสถานการณ์ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาหลายด้าน เช่น
ราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง สถานการณ์ความไม่สงบในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังคงยืดเยื้อ
และสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวที่ยังไม่อยู่ในภาวะปกติ ตลอดจนการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะ
เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย ทั้งนี้ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ย Fed Funds เริ่มขยับเข้าสู่ระดับกลาง
หรือระดับ 3.50%-4.00% หากคณะกรรมการฯมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% เช่นเดิมแล้ว จะ
สนับสนุนให้มีเงินทุนระยะสั้นไหลออก ในระยะสั้นเงินบาทของไทยจะมีแนวโน้มอ่อนค่าลง และทำให้ราคา
สินค้านำเข้าขยับตัวสูงขึ้นจนเป็นแรงกดดันให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นไปอีก
ทางด้านทิศทางอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยนั้น คุณประธาน
จิวจินดา เจ้าหน้าที่วิจัยเศรษฐกิจอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคารไทยธนาคาร คาดว่า หากธปท.ปรับขึ้นอัตราดอก
เบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน จาก 2.25% เป็น 2.50% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการ
เงินในวันที่ 9 มิ.ย. จะยังไม่ส่งผลให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในทันที เนื่องจากสภาพ
คล่องส่วนเกินที่ยังเพียงพอที่จะรองรับการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบกับทรัพยากรส่วนเกิน
หรืออัตราการใช้กำลังการผลิต แม้จะเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว แต่ก็ยังถูกใช้ไม่เต็มที่ อย่างไรก็ตาม การทยอย
ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. และสภาวะสภาพคล่องในระบบที่ค่อย ๆ ทยอยลดลงในระยะต่อไป
จากการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อาทิ การขยายสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ การเคลื่อนย้ายเงิน
ฝากสู่ตลาดทุนหลังการแปรรูปรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นบริษัทมหาชน
การขับเคลื่อนโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ภาครัฐ (เมกะโปรเจ็กต์) ที่คาดว่าจะเริ่มในช่วงครึ่งปีหลัง
ตลอดจนการออกพันธบัตรของธปท.เพื่อดูดซับสภาพคล่อง จะทำให้อัตราดอกเบี้ยของระบบธนาคารพาณิชย์ต้อง
ปรับตัวขึ้นตามในที่สุด แม้ว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้นจะยังคงมีแนวโน้มทรงตัวก็ตาม
สำหรับการคาดการณ์ผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open
Market Committee : FOMC) ที่จะมีขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 29 — 30 มิถุนายน 2548 สำนักวิจัย มีความ
เห็นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย Fed Funds อีก 0.25% ทำให้
อัตราดอกเบี้ยเพิ่มจาก 3.00% สู่ระดับ 3.25% เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงแข็งแกร่ง เพียงพอที่จะรอง
รับนโยบายการเงินที่เข้มงวด โดยเฉพาะตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐ
ในไตรมาสแรกของปี 2548 ที่ขยายตัวในอัตรา 3.5% สูงกว่าตัวเลขประมาณการที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ที่
3.1% อันเป็นผลมาจากยอดขาดดุลการค้าในเดือนมี.ค.ที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งแม้ว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาค
เกษตรของสหรัฐในเดือน พ.ค. จะเพิ่มขึ้นเพียง 78,000 ตำแหน่ง แต่จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการปรับขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ยของเฟด
สำนักวิจัย ยังมีความเห็นเพิ่มเติมว่า นอกจากปัจจัยตัวเลขเศรษฐกิจจะมีผลต่อการปรับเพิ่มอัตรา
ดอกเบี้ย Fed Funds แล้ว สุนทรพจน์ของนายอลัน กรีนสแปน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ใน
วาระต่างๆ ยังสะท้อนถึงความมั่นใจที่มีต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯในปีนี้ ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่
20 พ.ค.นายอลัน กรีนสแปน ได้กล่าวสุนทรพจน์กับชมรมเศรษฐศาสตร์ประจำกรุงนิวยอร์ค ว่า “ เศรษฐกิจ
สหรัฐฯมีแนวโน้มจะรับมือกับภาวะราคาน้ำมันแพงได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดจากราคาน้ำมันแพงในขณะ
นี้ มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐฯเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับผลกระทบที่เกิดขึ้น
ในช่วงทศวรรษ 1970 และต้นทศวรรษ 1980 ” อย่างไรก็ตาม สำนักวิจัยมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
คงจะพิจารณาสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯอีกครั้ง โดยเฉพาะตัวเลขอัตราเงินเฟ้อประจำเดือน พ.ค.
ว่าจะเอื้ออำนวยต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds หรือไม่ เพราะในช่วงที่ผ่านมา แม้ตัวเลขการจ้าง
งานของสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แต่อัตราเงินเฟ้อไม่ได้เร่งตัวมากนักและอยู่ในทิศทางที่สามารถควบคุม
ได้ โดยดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Headline Inflation) ในเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 0.5% จาก 0.6% ใน
เดือนมี.ค. และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core Inflation) เพิ่มขึ้น 0.2%จาก 0.4% ในเดือนมี.ค. จึง
อาจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ไม่จำเป็นต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Funds
ที่รุนแรง ในการประชุม FOMC ในช่วงปลายเดือนมิ.ย. นี้
ตารางที่ 1 ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธปท.ในรอบ 6 ครั้งที่ผ่านมา
วันที่ประชุม มติที่ประชุม เหตุผล
25 ส.ค.2547 ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ที่ 1.50% แรงกดดันเงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้น
20 ต.ค.2547 ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ที่ 1. 75% เศรษฐกิจขยายตัวดี แต่เงินเฟ้อสูงขึ้น
15 ธ.ค.2547 ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ที่ 2.00% รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจต่อเนื่อง
19 ม.ค.2548 คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.00% รอดูผล “สึนามิ” ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย
2 มี.ค.2548 ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ที่ 2.25% น้ำมันแพง แรงกดดันเงินเฟ้อสูงขึ้น
20 เม.ย.2548 คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% ห่วงเศรษฐกิจชะลอจากหลายปัจจัยรุม
ตารางที่ 2 ผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดในรอบ 8 ครั้งที่ผ่านมา
วันที่ประชุม มติที่ประชุม เหตุผล
29-30 มิ.ย.2547 ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ที่ 1.25% รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
10 ส.ค.2547 ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ที่ 1.50% เศรษฐกิจขยายตัวดี เงินเฟ้อควบคุมได้
21 ก.ย.2547 ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ที่ 1.75% รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง
10 พ.ย.2547 ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ที่ 2.00% เน้นเป้าหมายเสถียรภาพเศรษฐกิจ
14 ธ.ค.2547 ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ที่ 2.25% รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจต่อเนื่อง
1-2 ก.พ.2548 ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ที่ 2.50% เศรษฐกิจแกร่งพอรองรับดอกเบี้ยสูง
22 มี.ค.2548 ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ที่ 2.75% เศรษฐกิจขยายตัวดี เงินเฟ้อควบคุมได้
3 พ.ค.2548 ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ที่ 3.00% แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังจัดการได้
ที่มา : รวบรวมโดยสำนักวิจัย ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน)--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ