บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2/2565 เติบโตต่อเนื่อง มีกำไรจากการดำเนินงาน 3,219 ล้านบาท ล่าสุดประสบความสำเร็จในการปิดงานก่อสร้าง 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ "น้ำเทิน 1" และโครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ "ทีพีเอ็น" นับถอยหลังเตรียมเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ พร้อมรับรู้รายได้ทันที
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า "การดำเนินงานในไตรมาส ที่ 2 ปี 2565 มีความก้าวหน้าและเป็นไปตามแผนงาน เอ็กโก กรุ๊ป ได้ติดตามสถานการณ์ราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนอย่างใกล้ชิด และมีการบริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิงที่ดีเพื่อให้การเดินเครื่องผลิตไฟฟ้ามีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังมีความก้าวหน้าทางธุรกิจที่สำคัญจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ การลงนามสัญญาเงินกู้เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้า "เอ็กโก โคเจนเนอเรชั่น ส่วนขยาย" กำลังผลิตสุทธิ 74 เมกะวัตต์ จังหวัดระยอง และความสำเร็จในการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าและโครงการพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ "น้ำเทิน 1" กำลังผลิตติดตั้งรวม 650 เมกะวัตต์ ใน สปป.ลาว และโครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ "ทีพีเอ็น" จังหวัดสระบุรี-ขอนแก่น ซึ่งเตรียมพร้อมจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์และรับรู้รายได้ต่อไป"
สำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 เอ็กโก กรุ๊ป มีรายได้รวมทั้งสิ้น 15,217 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน 3,219 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้า "บีแอลซีพี" และโรงไฟฟ้า "น้ำเทิน 2" รวมทั้งการรับรู้รายได้จากการลงทุนในบริษัท "เอเพ็กซ์ คลีนเอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้งส์" ประเทศสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน 7,391 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ใน 6 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 3,339 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 ได้รับผลกระทบจากการแปลงมูลค่าหนี้สินสกุลเงินต่างประเทศเป็นสกุลเงินบาทอันเนื่องมาจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาท และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรม (Fair value) ของเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและการดำเนินงานของบริษัทแต่อย่างใด
สำหรับทิศทางการลงทุนครึ่งปีหลังของปี 2565 นายเทพรัตน์ กล่าวว่า "เอ็กโก กรุ๊ป ยังคงแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่อย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด "Cleaner, Smarter and Stronger to Drive Sustainable Growth" โดยมุ่งขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจกลางน้ำ ในพื้นที่ที่มีฐานธุรกิจอยู่แล้วโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ตลอดจนขยายธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภค ผ่านการดำเนินโครงการ "ทีพีเอ็น" และพัฒนาธุรกิจเกี่ยวกับนวัตกรรมไฟฟ้าและธุรกิจ New S-Curve อย่างต่อเนื่อง ผ่านการลงทุนในบริษัท "อินโนพาวเวอร์" เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและก้าวเข้าสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต"
เกี่ยวกับเอ็กโก กรุ๊ป
ปัจจุบันเอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,018 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวมสูงถึง 1,364 เมกะวัตต์ ทั้งจากชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ และเซลล์เชื้อเพลิง ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่าง ๆ ตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ("ทีพีเอ็น") โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง ตลอดจนยังได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย บริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน ("เพียร์ พาวเวอร์") บริษัทด้านการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรม ("อินโนพาวเวอร์") และบริษัทด้านการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาด ("เอเพ็กซ์ คลีนเอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้งส์") ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับเอ็กโก กรุ๊ป เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.egco.com และเฟซบุ๊ก www.facebook.com/EGCOGroup