บริษัท สิงห์ เอสเตท โชว์รายได้ 5,790 ล้านบาท ในครึ่งปีแรกปี 2565 เพิ่มขึ้น 92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการเติบโตของรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจ และเริ่มรับรู้รายได้จากการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมเป็นครั้งแรกในไตรมาส 2 สะท้อนผลสำเร็จจากการมุ่งปรับโครงสร้างธุรกิจในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์กระจายการลงทุนเพื่อสร้างความหลากหลายใน 4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน มั่นใจรายได้ในปี 2565 เติบโตเกือบเท่าตัว สู่เป้าหมายนิวไฮของบริษัทฯ
การเพิ่มขึ้นของรายได้รวมมีสาเหตุหลักจากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของกลุ่มธุรกิจโรงแรม ซึ่งรายงานที่ 3,761 ล้านบาท เติบโตขึ้นเกือบ 3 เท่าตัวจากครึ่งปีแรกปี 2564 เป็นผลมาจากความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องของผลประกอบการของโรงแรมทั้ง 2 แห่งในโครงการครอสโร้ด เฟส1 (CROSSROADS) สาธารณรัฐมัลดีฟส์ และพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักร ที่เติบโตขึ้น 128% จากช่วงครึ่งปีแรกปี 2564 ซึ่งสัดส่วนรายได้รวมกันคิดเป็น 75% ของรายได้รวมทั้งหมด นอกจากนี้ บริษัทฯ เห็นแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของพอร์ตโรงแรมเอาท์ริกเกอร์ (Outrigger) และพอร์ตโรงแรมในประเทศไทย ซึ่งมีรายได้เติบโตกว่า 8 เท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 25% ของรายได้รวม โดยเมื่อสถานการณ์การท่องเที่ยวและการให้บริการเส้นทางบินต่างๆ สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นปกติ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายว่าโรงแรมทั้ง 2 พอร์ตนี้จะสามารถสร้างสัดส่วนรายได้เป็น 35% ของรายได้รวมในช่วงที่ธุรกิจดำเนินการได้ปกติ หรือกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งส่งสัญญาณบวกต่อรายได้ในอนาคตที่จะเติบโตต่อเนื่องได้อีกอย่างก้าวกระโดด
เสริมทัพด้วยรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าที่ปรับตัวดีขึ้น 5% ซึ่งเป็นผลมาจากการรักษาอัตราการปล่อยเช่าโดยรวมไว้ที่ 88% และสามารถปรับเพิ่มอัตราค่าเช่าขึ้นได้แม้จะอยู่ระหว่างสถานการณ์ที่ท้าทาย ส่งผลให้รายได้จากการขายและให้บริการรวมเติบโตขึ้น 132% สู่ 4,371 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกปี 2565 เช่นเดียวกับรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์รวม 1,419 ล้านบาท เติบโตขึ้น 25% จากช่วงครึ่งปีแรกปี 2564 สะท้อนความสำเร็จในการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมโครงการ ดิ เอส สิงห์ คอมเพล็กซ์ และดิ เอส อโศก และการรับรู้รายได้จากการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมเป็นครั้งแรกในไตรมาส 2 ปี 2565
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ 'S' เปิดเผยว่า "ไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลสำเร็จจากการปรับโครงสร้างธุรกิจของสิงห์ เอสเตท โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าลงทุนเพิ่มเติมในโรงแรมที่จะสร้างสมดุลรายได้ด้านฤดูกาลให้กับพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ โดยในไตรมาส 2 ถือเป็นช่วงเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวของสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ รายได้ทั้ง 2 พอร์ตดังกล่าวเติบโตขึ้น 40% และ 100% จากไตรมาสก่อน นอกจากนั้นแล้ว การเข้าลงทุนในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมที่นอกจากจะช่วยเพิ่มสมดุลรายได้ด้านฐานลูกค้าให้กับสิงห์ เอสเตท แล้ว ยังเป็นธุรกิจที่สร้างโอกาสในการหารายได้จากทรัพย์สิน (Recurring income) ให้บริษัทฯ ในระยะยาว โดยในไตรมาสที่ 2 นี้ บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายที่ดินให้กับโรงไฟฟ้า บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) จำนวน 77 ไร่ ผนวกกับการทยอยฟื้นตัวของธุรกิจอื่นๆ และการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ สิงห์ เอสเตท พลิกรายงานกำไรสุทธิ 102 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 ซึ่งเราหวังว่าบริษัทจะมีโมเมนตัมในการสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง"
ภาพรวมผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะเติบโตขึ้นต่อเนื่องราว 30% จากในช่วงครึ่งปีแรก ผลักดันโดยรายได้จากธุรกิจโรงแรม และรายได้จากการขายบ้านและอาคารชุด ซึ่งบริษัทฯ เห็นสัญญาณบวกที่เด่นชัดจากสถิติการดำเนินงานโรงแรมในเดือนกรกฎาคม 2565 โดยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของทั้งพอร์ตโฟลิโอปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 70%
และคาดว่าจะมีทิศทางที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเช้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวของสาธารณรัฐมัลดีฟส์ และประเทศไทยในไตรมาสที่ 4 นอกจากนี้ บริษัทฯ ใช้กลยุทธ์ในการปรับปรุงห้องพักของโรงแรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันอัตราค่าห้องพักต่อคืน (ADR) ให้เติบโตขึ้น โดยเฉพาะโรงแรมในโครงการ ครอสโร้ดส์ (CROSSROADS) และ พอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักร ที่คาดว่าจะมีอัตราค่าห้องพักต่อคืนที่สูงขึ้นกว่าปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ถึง 41% และ 27% ตามลำดับ อีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่จะดันรายได้ในช่วงครึ่งปีหลัง คือพอร์ตโรงแรมในประเทศไทย โดยเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่รวดเร็วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นเดือนแรกในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเต็มรูปแบบ ส่งผลให้โรงแรม ทราย ลากูน่า ภูเก็ต (SAii Laguna Phuket) และโรงแรมทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ (SAii Phi Phi Island Village) มีอัตราการเข้าพักที่ 68% และ 63% ตามลำดับ ทั้งนี้ ด้วยจุดแข็งด้านที่ตั้งของโรงแรมทั้งหมดของบริษัทฯ ที่ล้วนแล้วแต่อยู่ในทำเลที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ผนวกกับผลสำเร็จจากการสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ของบริษัทฯ เราจึงมีความมั่นใจต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าพอร์ตโรงแรมในประเทศไทยจะสามารถสร้างรายได้ที่เติบโตขึ้นเกือบสองเท่าตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปี
บริษัทฯ คาดการณ์ว่าการโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการบ้านแนวราบ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส จะเร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลังเช่นกัน หนุนด้วยการรับรู้รายได้จากบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส (Siraninn Residences) ที่คาดว่าจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ได้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 เป็นต้นไป จะช่วยสร้างการเติบโตของรายได้ธุรกิจที่พักอาศัยให้เพิ่มขึ้น 50% หรือกว่า 3,300 ล้านบาทในปี 2565 นี้ สำหรับโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส คาดว่าจะเปิดการขายภายในเดือนกันยายน 2565 ตั้งอยู่ในซอยพัฒนาการ 32 ซึ่งเป็นทำเลที่อยู่อาศัยสำหรับโครงการแนวราบเขตเมือง ที่พรีเมียมที่สุดในปัจจุบัน คาแรกเตอร์ของโครงการเป็นบ้านเดี่ยวแนบราบระดับลักชัวรี่ (Horizontal Luxury House) ในรูปแบบบ้านเดี่ยว 2 ชั้นท่ามกลางสังคมคุณภาพ จำกัดเพียง 28 แปลง ด้วยราคาประมาณ 65 - 180 ล้านบาท และโฮมออฟฟิศ ราคาประมาณ 20 ล้านบาท จำนวน 4 แปลง โดยโครงการดังกล่าวได้รับกระแสตอบรับจากลูกค้าเก่า ซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่ผูกพันและเป็นแฟนของแบรนด์สิงห์ เอสเตท อย่างดี ทำให้เรามีความเชื่อมั่นว่าเป้ายอดโอนในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 ที่วางไว้จะสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอน
การวางเป้าเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยใหม่ในช่วง 5 ปีที่ระดับ 52,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบ ในระดับลักชัวรี่ ผ่าน 3 เซ็กเมนท์ใหม่ที่ครอบคลุมระดับราคาที่กว้างขึ้น ด้วยการปรับราคาลงมาในแต่ละโครงการตั้งแต่ 100 ล้าน สู่ 10 ล้านบาทต่อยูนิต โดยบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ในอีก 2 เซ็กเมนท์ จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในปี 2565 ทั้งนี้ บริษัทฯ มีที่ดินที่พร้อมพัฒนาแล้ว 2 แปลง และอยู่ระหว่างรอโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเพิ่มเติม เพื่อเดินหน้าพัฒนา 4 โครงการที่พร้อมเปิดขายในปี 2566 พร้อมตั้งเป้าหมายในการซื้อที่ดินในทำเลศักยภาพอีกจำนวน 5 - 7 แห่งต่อปีสำหรับการพัฒนาและทยอยเปิดตัวโครงการตั้งแต่ปี 2566 อย่างต่อเนื่อง ปีละกว่าหมื่นล้านบาท
สำหรับความคืบหน้าของการนำพื้นที่ค้าปลีกของบริษัทฯ ให้เช่าระยะยาวแก่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME) นั้น เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2565 ได้ปล่อยเช่าส่วนพื้นที่ค้าปลีก ในโครงการอาคารซันทาวเวอร์ส ด้วยมูลค่าจำนวน 213 ล้านบาท โดยพื้นที่ดังกล่าวที่ SPRIME เข้าลงทุนเพิ่มเติมนั้น ปัจจุบันมีอัตราการเช่าสูงถึง 98% จึงมั่นใจได้ว่าเอส ไพรม์ (SPRIME) เข้าลงทุนเพิ่มเติมในอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพและจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้แก่กองทรัสต์ SPRIM ต่อไป อย่างไรก็ตาม แผนในการให้เช่าระยะยาวในส่วนอาคารสำนักงานสิงห์ คอมเพล็กซ์ ได้ถูกพิจารณาเลื่อนออกไป เนื่องจากสภาวะตลาดทุนที่ผันผวน และสภาพเศรษฐกิจที่ยังถูกกดดันจากแนวโน้มการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน โรคระบาด ตลอดจนประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศต่างๆ โดยเรายังคงมีความเชื่อมั่นในผลการดำเนินงานของอาคารสำนักงาน สิงห์ คอมเพล็กซ์ ที่สร้างกำไรจากการดำเนินงานให้แก่บริษัทราว 400 ล้านบาทต่อปี - นางฐิติมา กล่าว