โบรกฯ แนะซื้อ PIMO-ไพโม่ ให้ราคาเหมาะสม 5.05 บาทต่อหุ้น ขานรับเข้าสู่ช่วง High season ในไตรมาส 3/65 เต็มสตีม กำไรสุทธิทำจุดสูงสุดใหม่ พร้อมรับอานิสงส์สยายปีกขายมอเตอร์รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและลูกค้าใหม่ในออสเตรเลีย เซ็นสัญญาซื้อ 3 ปี มูลค่าคำสั่งซื้อปีละ 400-500 ล้านบาท ด้านหัวเรือใหญ่ "วสันต์ อิทธิโรจนกุล" ปลื้ม!! เดินหน้าลุยงานต่อเนื่อง หวังสร้างความยั่งยืนและผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต
นายธีร์ธนัตถ์ จินดารัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้น บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO โดยระบุว่าแม้รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/2565 ที่ 31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.7% ต่ำกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดเล็กน้อย มีสาเหตุมาจาก 1.รายได้จากการขายที่น้อยกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์คาด และ2.ค่าใช้จ่ายในการบริหารที่สูงกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์คาด
ส่วนสาเหตุที่กำไรสุทธิลดลง มาจากการระบาดของ Covid-19 ในโรงงานทำให้กำลังการผลิตได้รับผลกระทบ แต่บริษัทแก้ปัญหาด้วยการเปิดโรงงานในช่วงวันหยุด ทำให้ได้รับผลกระทบจำกัด ซึ่งแลกมาด้วยค่าล่วงเวลาที่สูงขึ้นทำให้ GPM ลดลง นอกจากนี้ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็นผลให้ GPM ลดลงเช่นกัน โดยในไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 15.9% ลดลงจาก 16.2% ในไตรมาส 1/2565 และ 20.4% ในไตรมาส 2/2564
ขณะที่งวดเดียวกันปีก่อน แม้บริษัทจะถูกกดดันจากต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ถูกชดเชยด้วยยอดขายที่เติบโตในทุกผลิตภัณฑ์ ทั้งในและต่างประเทศ ทำให้กำไรสุทธิยังเติบโตได้ 24.7% จากงวดเดียวกันปีก่อนและ PIMO ยังประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลจำนวน 0.02 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend yield ที่ 0.5% โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 22 สิงหาคม 2565 และจ่ายปันผลในวันที่ 7 กันยายน 2565
นายธีร์ธนัตถ์ กล่าวต่อไปว่ากำไรสุทธิครึ่งปีแรก คิดเป็น 45.5% ของประมาณการกำไรทั้งปี โดยฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่าประมาณการกำไรทั้งปี PIMO ยังสามารถทำได้ เนื่องจากปกติในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็น High season ของบริษัท ขณะที่ประมาณการยังมี Upside จาก 1.การขายมอเตอร์รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 2.บริษัทได้ลูกค้าใหม่ในออสเตรเลีย ซึ่งมีสัญญาซื้อ 3 ปี มูลค่าคำสั่งซื้อปีละ 400-500 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้เข้ามาในปีนี้ราว 200 ล้านบาท คิดเป็น 13% ของประมาณการยอดขายในปี 2565
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 3/2565 ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์คาดกำไรสุทธิจะเติบโตทำจุดสูงสุดใหม่ราว 37 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19.4% จากไตรมาสก่อน และ 19.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเป็นช่วง High season และการเข้าสู่ช่วงหน้าฝนทำให้ความต้องการใช้ปั๊มน้ำการเกษตรเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตในช่วงปลายไตรมาส 3/2565 ขณะที่ต้นทุนการผลิตอย่างทองแดงและอลูมิเนียมเริ่มปรับตัวลดลง เช่นเดียวกับต้นทุนการขนส่ง อีกทั้งกำลังการผลิตกลับมาเป็นปกติหลังปัญหา Covid-19 คลี่คลาย
อย่างไรก็ตามราคาหุ้น PIMO ยังคงมี Upside อยู่ที่ 25.6% จากราคาเหมาะสม ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 ที่ 5.05 บาทต่อหุ้น และยังคงคำแนะนำซื้อ โดยฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 65-66 ไว้ที่ 139 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.1% และ 181 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30% จากงวดเดียวกันปีก่อนตามลำดับ จากการเติบโตของมอเตอร์ AC และ BLDC ซึ่งยังไม่รวมโอกาสจากลูกค้าใหม่และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าไว้ในประมาณการ
ด้านนายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO-ไพโม่ ผู้ประกอบธุรกิจหลักผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าเครื่องปรับอากาศ (Air Conditioning Motor) มอเตอร์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไป (Induction Motor) เครื่องสูบน้ำ ปั๊มหอยโข่ง มอเตอร์สำหรับสระว่ายน้ำ มอเตอร์สำหรับปั๊มบ้าน (Submersible Pump,Pool Spa Pump and Home Pump) กล่าวว่าฝากขอบคุณผู้ถือหุ้นและนักลงทุนที่ให้ความสนใจเลือกลงทุนในหุ้น PIMO ซึ่งทางบริษัทฯ จะพยายามอย่างเต็มที่สำหรับการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 ให้ผลประกอบการออกมาในทิศทางที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อให้บริษัทฯ มีความยั่งยืนและสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต