"เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น (ASIAN)" เผยงบ Q2/65 มีกำไร 264 ลบ. มีรายได้จากการขายและบริการ 2,810 ลบ. ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 19.4% หนุนครึ่งปีแรกมีกำไรอยู่ที่ 513 ลบ. และมีรายได้จากการขายและบริการ 5,647 ลบ. ผลจากการเติบโตของยอดขายกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและกลุ่มอาหารทะเลแช่เยือกแข็ง และค่าเงินบาทอ่อนหนุน ด้านบอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.25 บาท/หุ้น ประเมินแนวโน้มธุรกิจ H2/65 ยังดี ชูอาหารสัตว์เลี้ยงโตแรง เตรียมเพิ่มกำลังการผลิตต่อดันยอดขาย มั่นใจ ยังบริหารจัดการต้นทุนได้ ด้านค่าเงินบาทอ่อนหนุนผลงานปีนี้ พร้อมย้ำเป้ายอดขายปีนี้ 1.12 หมื่นล้านบาทตามแผน
นายเอกกมล ประสพผลสุจริต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารแช่เยือกแข็ง ทูน่า อาหารสัตว์น้ำ และอาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้าและของตนเอง เปิดเผยว่า ผลประกอบการในงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม - มิถุนายน) มีกำไรสุทธิรวม 513 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายรวม 5,647 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 23% โดยมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 1,022 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 17% จากการเติบโตของยอดขายกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและกลุ่มอาหารทะเลแช่เยือกแข็ง แต่ผลจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นและปริมาณขายในกลุ่มอาหารสัตว์น้ำที่ลดลงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในครึ่งปีแรกของปีนี้ลดลงเล็กน้อยจาก 19.1% เป็น 18.1%
โดยสัดส่วนยอดขายในงวดครึ่งปีแรก กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตโดดเด่นที่สุดในกลุ่มธุรกิจของบริษัท หรือคิดเป็นสัดส่วน 52% โดยเฉพาะอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกมีการเติบโตตามเทรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยม ที่ผู้เลี้ยงให้ความสนใจในคุณภาพอาหารสัตว์เลี้ยงมากขึ้น กลุ่มธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็ง มีสัดส่วน 32% กลุ่มธุรกิจทูน่า 8% และกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ 8%
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในงวดไตรมาส 2/2565 มีกำไรสุทธิ 264 ล้านบาท ลดลงราว 10% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 293 ล้านบาท เป็นผลจากต้นทุนราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น และปริมาณการขายของกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์น้ำที่ลดลง โดยมีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 2,810 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 2,501 ล้านบาท การเติบโตของยอดขายมาจากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง หรือเติบโตสูงถึง 44% ในขณะที่กลุ่มทูน่าเติบโตราว 23% โดยมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 545 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 19.4% ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 20.8%
ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท กำหนดให้จ่ายเงินปันผลในวันที่ 7 กันยายน 2565 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 22 สิงหาคม 2565
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 เชื่อว่าจะยังเติบโตได้ตามแผนที่ตั้งไว้ โดยมีรายได้ 1.12 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 19% จากปีก่อน โดยกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงจะเป็นธุรกิจสำคัญในการผลักดันการเติบโต โดยบริษัทฯ เตรียมขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 42,000 ตันต่อปี เพื่อรับเทรนด์ธุรกิจขาขึ้น ประกอบกับบริษัทฯ ได้รับผลดีจากเงินบาทที่อ่อนค่า ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ประมาณ 80% โดยตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และยุโรป
ด้านธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งคาดว่ายอดขายในช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันกับช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งต้องจับตาสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา และยุโรป ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของบริษัทฯ ขณะที่ภาพรวมต้นทุนอาจจะมีการปรับสูงขึ้นบ้าง สำหรับธุรกิจทูน่า ยังคงเป็นไปได้ตามแผน สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ มีการเดินหน้าปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ โครงสร้างการจัดการ รวมทั้งนโยบายการให้สินเชื่อ หลังภาพรวมครึ่งปีแรกปริมาณการเลี้ยงในประเทศไม่เติบโต และมองว่าสถานการณ์โดยรวมจะเริ่มคงที่ในครึ่งปีหลัง
ทางด้านบริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ที่เตรียมจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ว่า ขณะนี้การดำเนินการยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ซึ่งได้ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงานก.ล.ต. ไปแล้ว ในเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้น IPO ในปีนี้ เพื่อปลดล็อกฐานทุนเร่งการเติบโตของธุรกิจ