กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 35.60-36.20 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 35.66 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในกรอบ 35.25-35.78 บาท/ดอลลาร์ เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หลายรายเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวต่อไป ขณะที่เฟดเปิดเผยรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 26-27 กรกฎาคม ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นที่จะขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับสูงเท่าที่จำเป็น แม้เฟดเริ่มเห็นว่าอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยมากเกินไป เนื่องจากเฟดต้องใช้เวลาในการประเมินว่าการคุมเข้มนโยบายกำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง โดยผู้ร่วมประชุมส่วนใหญ่เห็นว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจยังไม่ได้สะท้อนถึงผลกระทบส่วนใหญ่จากการที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่เฟดยังตั้งข้อสังเกตว่าถึงแม้ภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลงแต่ตลาดแรงงานยังคงอยู่ในภาวะแข็งแกร่งและอัตราการว่างงานอยู่ใกล้จุดต่ำสุด นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อโลกกลับมาอีกครั้งหลังเยอรมันรายงานดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนกรกฎาคมพุ่งขึ้น 37.2% ซึ่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคของอังกฤษเพิ่มขึ้น 10.1% สูงสุดรอบ 40 ปี โดยธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) อาจต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างมากต่อไปซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นและพันธบัตรไทยสุทธิ 24,208 ล้านบาท และ 436 ล้านบาท ตามลำดับ
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรีคาดว่าเงินดอลลาร์จะได้แรงหนุนต่อเนื่องก่อนสุนทรพจน์ของประธานเฟดในงานสัมมนาวิชาการที่เมือง Jackson Hole ช่วงท้ายสัปดาห์ โดยเฟดมักใช้เวทีดังกล่าวในการส่งสัญญาณนโยบายการเงิน นอกจากนี้ ตลาดจะจับตาค่าเงินหยวนที่อ่อนลง ข้อมูลจีดีพีไตรมาส 2 และค่าใช้จ่ายบริโภคส่วนบุคคลเดือนกรกฎาคมของสหรัฐฯ รวมถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของยูโรโซน ขณะที่แรงกดดันด้านขาลงต่อค่าเงินยูโรเพิ่มสูงขึ้นท่ามกลางความเสี่ยงเรื่องภาวะการขาดแคลนพลังงานและภูมิอากาศแปรปรวน
สำหรับปัจจัยในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/65 ที่เติบโต 2.5% y-o-y ต่ำกว่าที่ธปท.คาดแต่ยังมั่นใจว่าการฟื้นตัวจะดำเนินต่อไป ขณะที่เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นแต่ผลกระทบต่อไทยยังจำกัด สนับสนุนมุมมองของเราที่ว่าทางการจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปตลอด 2-3 ไตรมาสข้างหน้า